ครูนิ่มนวล จันทสอน มีฝีมือในการทำอาหารหลายอย่าง และน้ำพริกปลาดุกฟูก็เป็นอีกเมนูหนึ่งที่มีคนติดใจกันมาก จนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับกระเช้าของฝากประจำโรงเรียนพลาธิการ
ครูนิ่มนวลฯ และ ร.อ. หญิง ปาริชาติ ช่อทองดี ได้ร่วมกันถ่ายทำวีดีโอชุดนี้ขึ้น เืพื่อถ่ายทอดความรู้เมนูเด็ดนี้ให้แก่ผู้สนใจได้รับชมและนำไปฝึกทำกันดังต่อไปนี้ :
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
สาธิตการทำน้ำพริกปลาดุกฟู
อีกหนึ่งตำรับของน้ำพริกที่เป็นสุดยอดความอร่อยและถือเป็นน้ำพริกประจำกระเช้าของฝากในเทศกาลต่างๆ ของโรงเรียนพลาธิการ ซึ่งเราภูมิใจนำเสนอในวันนี้ก็คือ "น้ำพริกปลาดุกฟู"
น้ำพริกถ้วยนี้ ครู นิ่มนวล จันทสอน ร่วมกับ ร.อ. หญิง ปาริชาติ ช่อทองดี ได้ร่วมกันถ่ายทอดวิธีการให้เราได้รับทราบกันผ่านทางวีดีโอดังนี้ :
น้ำพริกถ้วยนี้ ครู นิ่มนวล จันทสอน ร่วมกับ ร.อ. หญิง ปาริชาติ ช่อทองดี ได้ร่วมกันถ่ายทอดวิธีการให้เราได้รับทราบกันผ่านทางวีดีโอดังนี้ :
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วิธีทำเนื้อย่างให้อร่อย
แกะสลักฟักทองเป็นรูปดอกรักเร่
ดอกรักเร่
ดอกรักเร่เป็นดอกไม้กลีบกว้าง เกสรเป็นร่องอยู่กลางกลีบ มีวิธีแกะสลักดังนี้
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีบาง
3. ฟักทอง
วิธีทำ
ขั้นที่ 1 เกลาฟักทองให้มน ทำวงเกสร แกะสลักเกสรหันปลายกลีบเข้าหาจุดศูนย์กลาง ปาดเนื้อกลางกลีบให้เป็นร่อง
ขั้นที่ 2 ปาดเนื้อใต้กลีบ แกะสลักขั้นต่อไปให้สับหว่าง
ขั้นที่ 3 แบ่งระยะกลีบ ปาดเนื้อกลางกลีบให้เป็นร่อง แล้วจึงแกะสลักกลีบให้ปลายแหลม
ขั้นที่ 4 ดอกรักเร่ข้างกลีบจะโค้งน้อยๆ ปลายแหลม เซาะเนื้อข้างกลีบออก
ขั้นที่ 5 ปาดเนื้อใต้กลีบออกทุกครั้ง กลีบจะเด่น
ขั้นที่ 6 แกะสลักกลีบขั้นต่อไปให้สับหว่าง เช่นนี้ จนจบ
ขั้นที่ 7 ตัดเนื้อใต้ฐานกลีบออกให้หมด
ขั้นที่ 8 ดอกรักเร่ กลีบจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นที่ละน้อย
------------------------------
แกะสลักฟักทองเป็นรูปดอกกุหลาบ
ดอกกุหลาบ
ดอกกุหลายเป็นดอกไม้ที่มีกลีบใหญ่ซ้อนเยื้องกัน ถ้าแกะสลักกับฟักทองจะมีสีเหลืองสวย นำมาเชื่อมเป็นอาหารหวาน ถ้าเป็นมะละกอดิบ นำมาแช่อิ่มหรือจะใช้ประโยชน์ในการตกแต่งผลไม้ เลือกวัสดุที่จะนำมาแกะสลักได้หลายอย่าง มีขั้นตอนดังนี้
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีดบาง
3. ฟักทอง มะละกอ
วิธีทำ
ขั้นที่ 1 เกลาฟักทองให้กลม แกะสลักวงเกสรเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม. ปาดเนื้อฟักทองออก
ขั้นที่ 2 เกลาวงเกสรให้กลม แกะสลักกลีบกุหลาบชั้นใน
ขั้นที่ 3 เซาะกลีบกุหลาบให้ตั้ง ปาดเนื้อข้างกลีบออก
ขั้นที่ 4 ข้างกลีบจะซ้อนเยื้องกัน
ขั้นที่ 5 กลีบชั้นสองจะสับหว่างชั้นแรกและปลายกลีบต่ำเล็กน้อย
ขั้นที่ 6 แกะสลักกลีบวงรอบนอก เซาะเนื้อฟักทองให้เป็นร่องลึก โค้งกลีบให้ยาวตามร่องเดิม ปลายกลีบซ้อนทับกัน
ขั้นที่ 7 แกะสลักกลีบวงรอบนอกเนื้อฟักทองให้เป็นร่องลึก โค้งกลีบ
ขั้นที่ 8 ปาดเนื้อใต้กลีบออก กลีบจะตั้งขึ้น
ขั้นที่ 9 กลีบรอบนอกจะบาน ตัดเนื้อใต้กลีบออกให้หมด
ขั้นที่ 10 กุหลาบเมื่อแกะสลักเสร็จแล้ว กลีบชั้นในตั้ง ชั้นนอกบานออก
-----------------------------------------------
แกะสลักแตงร้านเป็นรูปใบไม้
ใบไม้พลิ้ว
ใบไม้ที่มีลักษณะพลิ้ว จะโค้งเล็กน้อย ปลายบิด มองดูเหมือนมีความอ่อนไหวตามธรรมชาติ
ขั้นตอนในการแกะสลักมีดังนี้
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีดบาง
3. แตงร้าน
วิธีทำ
ขั้นที่ 1 ตัดแตงร้านส่วนปลายออกเล็กน้อย ใช้มีดควั่นให้เป็นเกลียวตามยาวผลลึกถึงเมล็ด ระยะห่างกันประมาณ 3 – 4 ซม.
ขั้นที่ 2 ตัดแตงร้านให้ขาดจากกัน แบ่งเป็น 2 ส่วน
ขั้นที่ 3 ฝานเมล็ดออกแต่งรูปร่างใบไม้ให้ปลายแหลม เจียนริมใบให้บาง ใบไม้จะมีลักษณะโค้งเล็กน้อย
ขั้นที่ 4 เซาะร่องเส้นกลางใบให้เป็นแนวคู่
ขั้นที่ 5 ตัดแต่งก้านใบให้ยาวประมาณ 1 ซม.
ขั้นที่ 6 หยักริมใบทั้งสองข้างให้ปลายแหลม เว้นระยะห่างกันประมาณ ½ ซม.
ขั้นที่ 7 เซาะเส้นใบตลอดแนวให้เป็นร่องปลายแหลม
---------------------------
แกะสลักแคนตาลูปเป็นรูปดอกรักเร่กลีบซ้อน
การแกะสลักผักและผลไม้ของไทย เป็นงานฝีมือที่เป็นศิลปะ ประกอบด้วยการตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม ยากที่จะหาชาติใดทัดเทียมได้ ศิลปะแขนงนี้สืบเนื่องมาแต่โบราณ แต่มิได้แพร่หลายทั่วไป ทั้งที่เป็นศิลปะเก่าแก่ประจำชาติไทย เนื่องจากเดิมเป็นวิชาการชั้นสูงของกุลสตรีในรั้วในวัง ซึ่งจะต้องฝึกฝนและเรียนรู้จนเกิดความชำนาญ
กรมพลาธิการทหารเรือ มีภารกิจในการให้บริการจัดเลี้ยงงานต่างๆ แก่หน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกองทัพเรือ ซึ่งการแกะสลักผักและผลไม้นี้ มักมีส่วนสำคัญในการประดับตกแต่งอาหารหรือบรรยากาศภายในบริเวณงานให้มีความ สวยงามและเพิ่มคุณค่าได้อย่างดียิ่ง
เพื่อให้กำลังพลของกรมพลาธิการและรวมไปถึงกำลังพลที่ทำหน้าที่ในสายวิทยาการ ด้านการบริการจัดเลี้ยงตามหน่วยต่างๆ ได้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการแกะสลักผักและผลไม้ โรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือจึงได้รวมรวมความรู้และเทคนิควิธีการแกะสลักในรูปแบบที่ ง่ายๆ และใช้บ่อย ๆ โดยจัดทำเป็นวีดีโอ บรรจุลงในเว็บไซต์/บล็อกการจัดการความรู้ของหน่วย ซึ่งกำลังพลที่สนใจสามารถเข้าชมได้ในแบบ Stream Video
กรมพลาธิการทหารเรือ มีภารกิจในการให้บริการจัดเลี้ยงงานต่างๆ แก่หน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกองทัพเรือ ซึ่งการแกะสลักผักและผลไม้นี้ มักมีส่วนสำคัญในการประดับตกแต่งอาหารหรือบรรยากาศภายในบริเวณงานให้มีความ สวยงามและเพิ่มคุณค่าได้อย่างดียิ่ง
เพื่อให้กำลังพลของกรมพลาธิการและรวมไปถึงกำลังพลที่ทำหน้าที่ในสายวิทยาการ ด้านการบริการจัดเลี้ยงตามหน่วยต่างๆ ได้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการแกะสลักผักและผลไม้ โรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือจึงได้รวมรวมความรู้และเทคนิควิธีการแกะสลักในรูปแบบที่ ง่ายๆ และใช้บ่อย ๆ โดยจัดทำเป็นวีดีโอ บรรจุลงในเว็บไซต์/บล็อกการจัดการความรู้ของหน่วย ซึ่งกำลังพลที่สนใจสามารถเข้าชมได้ในแบบ Stream Video
ดอกรักเร่กลีบซ้อน
แกะสลักแตงร้านเป็นรูปดอกบัวสาย
ดอกบัวสาย
ดอกบัวเป็นดอกไม้กลีบบาง ซ้อนหลายชั้น มีหลายสี หลายพันธุ์ เลือกแตงกวาผลขนาดกลางแกะสลักให้กลีบซ้อนสับหว่างกัน แต่งปลายให้แหลม
ขั้นตอนการแกะสลักมีดังนี้
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีดบาง
3. แตงกวา/แตงร้าน
วิธีทำ
ขั้นที่ 1 ตัดแตงกวาตามขวางผล ออกประมาณ 1 ใน 3 ส่วน
ขั้นที่ 2 แบ่งตามหน้าตัดให้ได้ 10 กลีบ แตงกวาบางผลมีลายเส้นบนเปลือก สะดวกในการแบ่งกลีบ
ขั้นที่ 3 ใช้ปลายมีดกรีดตามยาวผลเบาๆ เซาะทีละกลีบรอบผล
ขั้นที่ 4 กลีบชั้นที่ 1 เป็นผิวแตงกวาสีเขียวอ่อน ดูเหมือนกลีบเลี้ยงดอกบัว
ขั้นที่ 5 กลีบจะสับหว่างกันทุกชั้น แตงกวาผลใหญ่เนื้อหนาเซาะกลีบได้ 4 ชั้น
ขั้นที่ 6 แต่งปลายกลีบให้มน ไส้แตงกวาตัดเกลาให้ปลายแหลมเป็นเกสรดอกบัว แช่น้ำให้กลีบบานแข็ง
-------------------
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
31 กรกฎาคม
แกะสลัก ผัก ผลไม้
... สยามเมืองยิ้มเป็นชื่อที่ทั่วโลกรู้จักและคุ้นเคย เนื่องจากความสวยงามและวิจิตของศิลปวัฒนธรรม ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ลืมเลือน แม้ได้มาแค่ครั้งเดียวก็ติดใจอยากมาอีก สิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจนั่นคือ ศิลปะของการแกะสลักผักผลไม้ที่จัดตกแต่งมาคู่กับอาหารไทยเลิศรส
มีดปลายแหลม ใช้ปอกและหั่นผัก ผลไม้
มีดแกะสลัก
มีดคว้าน ใช้คว้านเมล็ดผลไม้ออก
ที่ตักผลไม้ทรงกลมใช้ตักผลไม้ที่ให้ได้ทรงกลม หรือ ใช้ตักผลไม้ออกให้เหลือเปลือกนำไปใช้เป็นประโยชน์ เช่น ตักเนื้อแดงแตงโมออกเอาเอาเปลือกแตงโมไปทำอ่างที่ใส่พั้นช์ และเนื้อแตงโมกลมจัดเป็นผลไม้เสิร์ฟ
ที่ตัดแบบหยัก กรรไกรสำหรับตัดแต่ง ที่ปอก และฝานผลไม้
พิมพ์กดรูปต่างๆ ใช้กดผลไม้-ผักที่สไลด์มาบาง ๆ
... การแกะสลักผักผลไม้เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ดั่งที่เขียนไว้ในวรรณคดีบางเรื่องเช่น ในบทละครพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 เรื่อง " สังข์ทอง " ที่พรรณาถึงความพยายามของนางจันทร์เทวีที่นำฟักทองมาแกะสลักเพื่อเล่าเรื่องแต่หนหลัง แล้วนำมาแปรรูปเป็นเครื่องต้นถวายพระสังข์ทองเพื่อให้ทรงทราบว่าพระมารดาอยู่ไม่ไกล ดังข้อความนี้
" ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา.....คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์
ชิ้นสองต้องขับเที่ยวเซซัง.....อุ้มลูกไปยังพนาลัย
ชิ้นสามเมื่ออยู่ด้วยยายตา.....ลูกอยากออกมาช่วยขับไก่
ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร.....ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน
ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์.....ให้รับตัวลูกมาจากบ้าน
ชิ้นหกจองจำทำประจาน.....ให้ประหารฆ่าฟันให้บรรลัย
ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา.....ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล
เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรไท.....ใครใครไม่ทันจะสงกา "
... นอกจากนี้ยังมีวรรณคดีอีกหลายเรื่องที่ใช้งานศิลปะบอกความในใจ มิให้ผู้อื่นล่วงรู้ความนัย นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ..... ด้วยเหตุที่คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ ใจเย็น จึงชอบงานที่ใช้ฝีมือ งานที่ประดิบประดอยในการทำสิ่งสวยๆงามๆขึ้น ซึ่งเป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่นการนำผักผลไม้นานาชนิดที่มีสีสันสวยสดนำมาแกะเกลา ให้ได้งานชิ้นใหม่ที่มีความสวยงามเกิดขึ้น แล้วงานศิลปะชิ้นนี้ก็ได้เป็นมรดกตกทอดมาถึงรุ่นลูกหลานไทย
...การนำผักผลไม้มาแกะสลัก จุดประสงค์แรก คือ เพื่อทำให้อาหารจานนั้นเกิดความสวยงามน่ารับประทาน และทำให้สามารถรับประทานผักผลไม้ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น สมัยก่อนผู้หญิงที่เป็นแม่ศรีเรือน มีการต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยการนำผลไม้ที่ปอกเปลือกปลิ้นเอาเมล็ดออก บางชนิดก็ต้องตัดทอนเป็นชิ้น และบางชนิดก็คว้านเอาเมล็ดออก ทำให้ผู้มาเยือนเกิดความประทับใจ ... เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ และเต็มใจของผู้ทำ
... ศิลปะวัฒนธรรมไทยของเรานั้นมีอยู่มากมาย แฝงไว้ด้วยความสวยงาม อ่อนช้อย ประณีต ทั้งในแง่ของรูปธรรม และนามธรรม ตลอดจนชีวิตของผู้คน ปัจจุบันนี้ศิลปะวัฒนธรรมของไทยเรานั้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวต่างประเทศ ทั้งแถบเอเชีย และในยุโรป-อเมริกา ... การแกะสลัก ผัก ผลไม้ หนึ่งในศิลปะ อันส่อให้เห็นวัฒนธรรม งานแสดงศิลปะ งานอาหาร งานจัดเลี้ยง ที่จะขาดการจัดแต่งเสียไม่ได้ ก็คือการแสดงวิธีแกะสลักผักผลไม้นั่นเอง
... การแกะสลักผักผลไม้ของไทยเรา สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่กินของคนไทยที่ประณีต มีความเป็นผู้มีศิลปะ ไม่สุกเอาเผากิน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความปราถนาดีของผู้ประดิบประดอยผักเพื่อให้แขก หรือผู้เป็นที่รักได้รับประทานผลไม้แบบวิจิตรบรรจงและยังเป็นรูปแบบที่ใช้ประดับบนโต๊ะอาหารให้สวยงามมีศิลปะ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้มีวัฒนธรรมอีกด้วย
... การแกสลักผลไม้เหมาะอย่างยิ่งที่จะเลือกใช้ทำในโอกาสพิเศษจริงๆ เช่นการจัดโต๊ะอาหารพิเศษในวันเกิด วันฉลองความยินดีบางอย่าง วันปีใหม่ วันทำบุญ วันขึ้นบ้านใหม่ ..... การแกะสลักผลไม้ในชีวิตประจำวัน ทำได้ ขอเพียงแต่เลือกวิธีง่ายๆ ใช้ผักผลไม้ที่รับประทานเป็นประจำ ที่จะทำให้โอหารนั้นนุ่มนวล ชวนรับประทาน และเป็นสิ่งแวดล้อมให้ผู้รับประทานมีกิริยามารยาทในการรับประทานอาหารมากขึ้น
... สำหรับผู้เป็นสมาชิกของครอบครัว ก็จะเป็นการกล่อมเกลาเด็กๆ ให้คุ้นเคยกับสิ่งที่เป็นศิลปะ เป็นการสร้างความคุ้นเคยต่อวัฒนธรรมการกินของไทย และสุดท้ายสร้างรสนิยมและมารยาทในการรับประทานให้เด็กๆได้เป็นอย่างดี
การเลือกซื้อ ผักผลไม้
- หัวหอมชนิดต่างๆ เช่น หอมแดงหอมใหญ่ ควรเลือกหัวที่แน่นๆ สด เลือกหัวที่มีขนาดกลาง หรือ เล็ก โดยให้มีขนาดเท่ากัน
- แครอท ควาเลือกหัวตรงๆ ขนาดกลาง และใหญ่
- แรดิช หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หัวผักกาดแดง ควรเลือกหัวที่สดไม่เหี่ยว หัวป้อมๆ เลือกหัวที่มีขนาดกลาง โดยให้มีขนาดเท่ากันทุกหัว
- หัวไชเท้า ควรเลือกหัวตรงๆ ขนาดกลาง เปลือกใสไม่ขุ่นถ้าหัวใหญ่เนื้อจะฟ่าม
- แตงร้าน แตงกวา ควรเลือกผิวเขียว ลูกตรงขนาดกลาง สำหรับแตงกวาให้เลือกผิวเขียวๆ เนื้อจะหนากว่าแตงกวาผิวนวลล้อมเขียว
- มะเขือเทศ เลือกลูกขนาดเท่า ๆ กัน ซึ่งมะเขือเทศลูกรีๆ เนื้อจะหนากว่ามะเขื้อเทศลูกแป้นๆ เลือกลูกสดๆ ผิวไม่เหี่ยว
- ฟักทอง เลือกเนื้อหนาๆ และแน่นๆ โดยสังเกตุได้จากผิวต้องไม่ขรุขระ
- พริกชี้ฟ้า เลือกสดๆ ผิวตึงๆ เลือกเม็ดเล็กๆ เพราะถ้าใช้เม็ดใหญ่จะเต็มจาน ถ้าแกะเป็นดอกหน้าวัวจึงจะใช้เม็ดใหญ่
- ต้นหอม ต้นกระเทียม เลือกต้นที่มีใบสดเขียว ไม่เหลือง ต้นขนาดกลาง ต้นอวบๆ
- กระชาย เลือกรากสดอ้วนๆ ไม่เหี่ยว
- กะหล่ำปลีและผักกาดขาว ต้องเลือกที่สด แน่น หัวขนาดกลาง ซึ่งจะมีน้ำหนักมาก
- มะนาว เลือกสดๆ
- เผือก ใช้หัวขนาดกลาง ใช้เผือกหอมเนื้อจะละเอียด
13:08 | จัดทำบล็อก | งานอดิเรก
แกะสลัก ผัก ผลไม้
... สยามเมืองยิ้มเป็นชื่อที่ทั่วโลกรู้จักและคุ้นเคย เนื่องจากความสวยงามและวิจิตของศิลปวัฒนธรรม ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ลืมเลือน แม้ได้มาแค่ครั้งเดียวก็ติดใจอยากมาอีก สิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจนั่นคือ ศิลปะของการแกะสลักผักผลไม้ที่จัดตกแต่งมาคู่กับอาหารไทยเลิศรส
มีดปลายแหลม ใช้ปอกและหั่นผัก ผลไม้
มีดแกะสลัก
มีดคว้าน ใช้คว้านเมล็ดผลไม้ออก
ที่ตักผลไม้ทรงกลมใช้ตักผลไม้ที่ให้ได้ทรงกลม หรือ ใช้ตักผลไม้ออกให้เหลือเปลือกนำไปใช้เป็นประโยชน์ เช่น ตักเนื้อแดงแตงโมออกเอาเอาเปลือกแตงโมไปทำอ่างที่ใส่พั้นช์ และเนื้อแตงโมกลมจัดเป็นผลไม้เสิร์ฟ
ที่ตัดแบบหยัก กรรไกรสำหรับตัดแต่ง ที่ปอก และฝานผลไม้
พิมพ์กดรูปต่างๆ ใช้กดผลไม้-ผักที่สไลด์มาบาง ๆ
... การแกะสลักผักผลไม้เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ดั่งที่เขียนไว้ในวรรณคดีบางเรื่องเช่น ในบทละครพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 เรื่อง " สังข์ทอง " ที่พรรณาถึงความพยายามของนางจันทร์เทวีที่นำฟักทองมาแกะสลักเพื่อเล่าเรื่องแต่หนหลัง แล้วนำมาแปรรูปเป็นเครื่องต้นถวายพระสังข์ทองเพื่อให้ทรงทราบว่าพระมารดาอยู่ไม่ไกล ดังข้อความนี้
" ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา.....คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์
ชิ้นสองต้องขับเที่ยวเซซัง.....อุ้มลูกไปยังพนาลัย
ชิ้นสามเมื่ออยู่ด้วยยายตา.....ลูกอยากออกมาช่วยขับไก่
ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร.....ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน
ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์.....ให้รับตัวลูกมาจากบ้าน
ชิ้นหกจองจำทำประจาน.....ให้ประหารฆ่าฟันให้บรรลัย
ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา.....ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล
เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรไท.....ใครใครไม่ทันจะสงกา "
... นอกจากนี้ยังมีวรรณคดีอีกหลายเรื่องที่ใช้งานศิลปะบอกความในใจ มิให้ผู้อื่นล่วงรู้ความนัย นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ..... ด้วยเหตุที่คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ ใจเย็น จึงชอบงานที่ใช้ฝีมือ งานที่ประดิบประดอยในการทำสิ่งสวยๆงามๆขึ้น ซึ่งเป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่นการนำผักผลไม้นานาชนิดที่มีสีสันสวยสดนำมาแกะเกลา ให้ได้งานชิ้นใหม่ที่มีความสวยงามเกิดขึ้น แล้วงานศิลปะชิ้นนี้ก็ได้เป็นมรดกตกทอดมาถึงรุ่นลูกหลานไทย
...การนำผักผลไม้มาแกะสลัก จุดประสงค์แรก คือ เพื่อทำให้อาหารจานนั้นเกิดความสวยงามน่ารับประทาน และทำให้สามารถรับประทานผักผลไม้ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น สมัยก่อนผู้หญิงที่เป็นแม่ศรีเรือน มีการต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยการนำผลไม้ที่ปอกเปลือกปลิ้นเอาเมล็ดออก บางชนิดก็ต้องตัดทอนเป็นชิ้น และบางชนิดก็คว้านเอาเมล็ดออก ทำให้ผู้มาเยือนเกิดความประทับใจ ... เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ และเต็มใจของผู้ทำ
... ศิลปะวัฒนธรรมไทยของเรานั้นมีอยู่มากมาย แฝงไว้ด้วยความสวยงาม อ่อนช้อย ประณีต ทั้งในแง่ของรูปธรรม และนามธรรม ตลอดจนชีวิตของผู้คน ปัจจุบันนี้ศิลปะวัฒนธรรมของไทยเรานั้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวต่างประเทศ ทั้งแถบเอเชีย และในยุโรป-อเมริกา ... การแกะสลัก ผัก ผลไม้ หนึ่งในศิลปะ อันส่อให้เห็นวัฒนธรรม งานแสดงศิลปะ งานอาหาร งานจัดเลี้ยง ที่จะขาดการจัดแต่งเสียไม่ได้ ก็คือการแสดงวิธีแกะสลักผักผลไม้นั่นเอง
... การแกะสลักผักผลไม้ของไทยเรา สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่กินของคนไทยที่ประณีต มีความเป็นผู้มีศิลปะ ไม่สุกเอาเผากิน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความปราถนาดีของผู้ประดิบประดอยผักเพื่อให้แขก หรือผู้เป็นที่รักได้รับประทานผลไม้แบบวิจิตรบรรจงและยังเป็นรูปแบบที่ใช้ประดับบนโต๊ะอาหารให้สวยงามมีศิลปะ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้มีวัฒนธรรมอีกด้วย
... การแกสลักผลไม้เหมาะอย่างยิ่งที่จะเลือกใช้ทำในโอกาสพิเศษจริงๆ เช่นการจัดโต๊ะอาหารพิเศษในวันเกิด วันฉลองความยินดีบางอย่าง วันปีใหม่ วันทำบุญ วันขึ้นบ้านใหม่ ..... การแกะสลักผลไม้ในชีวิตประจำวัน ทำได้ ขอเพียงแต่เลือกวิธีง่ายๆ ใช้ผักผลไม้ที่รับประทานเป็นประจำ ที่จะทำให้โอหารนั้นนุ่มนวล ชวนรับประทาน และเป็นสิ่งแวดล้อมให้ผู้รับประทานมีกิริยามารยาทในการรับประทานอาหารมากขึ้น
... สำหรับผู้เป็นสมาชิกของครอบครัว ก็จะเป็นการกล่อมเกลาเด็กๆ ให้คุ้นเคยกับสิ่งที่เป็นศิลปะ เป็นการสร้างความคุ้นเคยต่อวัฒนธรรมการกินของไทย และสุดท้ายสร้างรสนิยมและมารยาทในการรับประทานให้เด็กๆได้เป็นอย่างดี
การเลือกซื้อ ผักผลไม้
- หัวหอมชนิดต่างๆ เช่น หอมแดงหอมใหญ่ ควรเลือกหัวที่แน่นๆ สด เลือกหัวที่มีขนาดกลาง หรือ เล็ก โดยให้มีขนาดเท่ากัน
- แครอท ควาเลือกหัวตรงๆ ขนาดกลาง และใหญ่
- แรดิช หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หัวผักกาดแดง ควรเลือกหัวที่สดไม่เหี่ยว หัวป้อมๆ เลือกหัวที่มีขนาดกลาง โดยให้มีขนาดเท่ากันทุกหัว
- หัวไชเท้า ควรเลือกหัวตรงๆ ขนาดกลาง เปลือกใสไม่ขุ่นถ้าหัวใหญ่เนื้อจะฟ่าม
- แตงร้าน แตงกวา ควรเลือกผิวเขียว ลูกตรงขนาดกลาง สำหรับแตงกวาให้เลือกผิวเขียวๆ เนื้อจะหนากว่าแตงกวาผิวนวลล้อมเขียว
- มะเขือเทศ เลือกลูกขนาดเท่า ๆ กัน ซึ่งมะเขือเทศลูกรีๆ เนื้อจะหนากว่ามะเขื้อเทศลูกแป้นๆ เลือกลูกสดๆ ผิวไม่เหี่ยว
- ฟักทอง เลือกเนื้อหนาๆ และแน่นๆ โดยสังเกตุได้จากผิวต้องไม่ขรุขระ
- พริกชี้ฟ้า เลือกสดๆ ผิวตึงๆ เลือกเม็ดเล็กๆ เพราะถ้าใช้เม็ดใหญ่จะเต็มจาน ถ้าแกะเป็นดอกหน้าวัวจึงจะใช้เม็ดใหญ่
- ต้นหอม ต้นกระเทียม เลือกต้นที่มีใบสดเขียว ไม่เหลือง ต้นขนาดกลาง ต้นอวบๆ
- กระชาย เลือกรากสดอ้วนๆ ไม่เหี่ยว
- กะหล่ำปลีและผักกาดขาว ต้องเลือกที่สด แน่น หัวขนาดกลาง ซึ่งจะมีน้ำหนักมาก
- มะนาว เลือกสดๆ
- เผือก ใช้หัวขนาดกลาง ใช้เผือกหอมเนื้อจะละเอียด
13:08 | จัดทำบล็อก | งานอดิเรก
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
การแกะสลักกลีบดอกต่าง
การแกะสลักก็เป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง ที่ถือเป็นมรดกล้ำค่าที่สืบทอดกันมายาว นาน เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความถนัด ความสามารถเฉพาะตัว และความละเอียดอ่อนมาก การแกะสลักจึงเป็นศิลปะที่ไม่ตายสามารถ นำความรู้ไปประกอบอาชีพได้
จาก Youtube.com
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ปอกแอปเปิ้ลไม่ให้ดำ
เคยสังเกตบ้างไหม เวลาปอกแอปเปิ้ล หรือสาลีทิ้งไว้ผิวของผลไม้ ประเภทนี้จะหมองคล้ำ ยิ่งเวลาผ่านไปความน่ารับประทานก็ยิ่งลดลงเรื่อย ๆ

เราสามารถป้องกันผิวของผลไม้ไม่ให้ดำได้ โดยละลายเกลือ ประมาณ 1 ช้อนชาลงในน้ำเปล่า 1 ชามแกงนำแอปเปิ้ลหรือสาลี่ที่ปอกเสร็จแล้วลงแช่ทิ้งไว้สักพัก เมื่อนำขึ้นมา จัดใส่จานผิวของผลไม้ก็จะไม่ดำคล้ำ

เราสามารถป้องกันผิวของผลไม้ไม่ให้ดำได้ โดยละลายเกลือ ประมาณ 1 ช้อนชาลงในน้ำเปล่า 1 ชามแกงนำแอปเปิ้ลหรือสาลี่ที่ปอกเสร็จแล้วลงแช่ทิ้งไว้สักพัก เมื่อนำขึ้นมา จัดใส่จานผิวของผลไม้ก็จะไม่ดำคล้ำ
แสบร้อนที่มือเพราะพริกขี้หนู
คุณเคยใช่ไหม เมื่อหั่น ซอย หรือว่าเด็ดพริกขี้หนู แล้วสิ่งที่ได้มากกว่าความเผ็ด ของอาหาร ก็คือความร้อนแสบไปทั่วบริเวณนิ้ว หรือมือที่สัมผัสกับพริกขี้หนู ที่ฤทธิ์ไม่พริกขี้หนูเอาเสียเลย
แก้ได้ไม่ยาก
วิธีแรกท่านว่าให้นำเกลือแกง ก็เกลือเค็ม ๆ ที่เราใช้ปรุงอาหารนี่ล่ะ สักหนึ่งช้อนแกงลูบลงบนมือถูไปถูมา ความแสบร้อนก็จะคลายลง
อีกวิธีนึงท่านว่าแทนที่จะใช้เกลือแกงให้ใช้ แป้ง จะแป้งเด็กทาตัว หรือแป้งหมี่ที่เราใช้ทำอาหารก็ได้ ลูบถูไปตรง บริเวณที่รู้สึกแสบร้อน สักครู่ก็จะรู้สึกดีขึ้น

วิธีแรกท่านว่าให้นำเกลือแกง ก็เกลือเค็ม ๆ ที่เราใช้ปรุงอาหารนี่ล่ะ สักหนึ่งช้อนแกงลูบลงบนมือถูไปถูมา ความแสบร้อนก็จะคลายลง

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สาธิตการทำน้ำพริกเสวย
ในเทศกาลหรือโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ หรือวันสถาปนาโรงเรียน รร.พธ.พธ.ทร.มักมีของฝากอย่างหนึ่งที่เมื่อใครๆ ได้รับไปแล้วก็มักจะติดใจ และล้วนถามถึงอีกเมื่อเทศกาลเวียนมาอีกครั้ง สิ่งนั้นก็คือกระเช้าน้ำพริกประเภทต่างๆ ที่ครูอาหารของ รร.พธ.ฯ ช่วยกันทำขึ้นมานั่นเอง
ในบรรดาน้ำพริกที่ว่ามานั้น "น้ำพริกเสวย" ของ ครู พรทิพย์ ติ่งเพชรเติม ก็เป็นอีกตำรับหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความอร่อย และถูกบรรจุเป็นรายการหนึ่งในกระเช้าของฝากอย่างสม่ำเสมอ
แต่ทว่า ปัจจุบัน ครูพรทิพย์ของเราท่านได้เกณียณอายุราชการไปเสียแล้ว คงเหลือแต่ความทรงจำดีๆ ที่ครูมีให้แก่พวกเราเสมอมา แต่ก่อนที่ท่านจะจาก รร.พธ.ฯ ไปนั้น ท่านได้ฝากวีดีโอ การทำ "น้ำพริกตะไคร้" และ "น้ำพริกเสวย" เอาไว้ให้พวกเราเป็นที่ระลึก พวกเราจึงขอขอบพระคุณ คุณครูพรทิพย์มา ณ โอกาสนี้ด้วย และเพื่อเป็นการระลึกถึง รร.พธ.ฯ จึงขอนำวีดีโอการทำ "น้ำพริกเสวย" ที่คุณครูได้ทำไว้มาเผยแพร่ในบล็อกนี้ให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน
ในบรรดาน้ำพริกที่ว่ามานั้น "น้ำพริกเสวย" ของ ครู พรทิพย์ ติ่งเพชรเติม ก็เป็นอีกตำรับหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความอร่อย และถูกบรรจุเป็นรายการหนึ่งในกระเช้าของฝากอย่างสม่ำเสมอ
แต่ทว่า ปัจจุบัน ครูพรทิพย์ของเราท่านได้เกณียณอายุราชการไปเสียแล้ว คงเหลือแต่ความทรงจำดีๆ ที่ครูมีให้แก่พวกเราเสมอมา แต่ก่อนที่ท่านจะจาก รร.พธ.ฯ ไปนั้น ท่านได้ฝากวีดีโอ การทำ "น้ำพริกตะไคร้" และ "น้ำพริกเสวย" เอาไว้ให้พวกเราเป็นที่ระลึก พวกเราจึงขอขอบพระคุณ คุณครูพรทิพย์มา ณ โอกาสนี้ด้วย และเพื่อเป็นการระลึกถึง รร.พธ.ฯ จึงขอนำวีดีโอการทำ "น้ำพริกเสวย" ที่คุณครูได้ทำไว้มาเผยแพร่ในบล็อกนี้ให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553
การปอกหอมโดยไม่แสบตา
เวลาที่เราปอกหัวหอม ไม่ว่าจะเป็นหอมหัวเล็กหรือหัวหอมใหญ่ จะรู้สึกแสบตา และบางครั้งก็มีน้ำตาไหลออกมาด้วย

วิธีแก้ คือ ต้มน้ำให้เดือด( ประมาณ 15 นาที ) ยกลงจากเตา จุ่มหัวหอมลงไปในน้ำร้อนแล้วรีบนำขึ้นไปแช่น้ำเย็นอีกครั้ง จะทำให้หัวหอมปอกเปลือกได้ง่าย ไม่แสบตา แล้วยังป้องกันการที่หัวหอมมีสีเขียวคล้ำ และมีกลิ่นเหม็นเมื่อทิ้งไว้นานได้อีกด้วย ปอกหอมครั้งต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียน้ำตาแล้ว

วิธีแก้ คือ ต้มน้ำให้เดือด( ประมาณ 15 นาที ) ยกลงจากเตา จุ่มหัวหอมลงไปในน้ำร้อนแล้วรีบนำขึ้นไปแช่น้ำเย็นอีกครั้ง จะทำให้หัวหอมปอกเปลือกได้ง่าย ไม่แสบตา แล้วยังป้องกันการที่หัวหอมมีสีเขียวคล้ำ และมีกลิ่นเหม็นเมื่อทิ้งไว้นานได้อีกด้วย ปอกหอมครั้งต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียน้ำตาแล้ว
กลิ่นกระเทียมติดมือ

กระเทียม เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาปรุงอาหาร โดยเฉพาะครัวไทย ต้องมีติดไว้ไม่ขาด เพราะไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด ก็นิยมนำมาปรุง มาเสริมให้กลิ่นหอมอร่อยยิ่งขึ้น อีกทั้งสรรพคุณทางยา ก็มากประโยชน์ กระทั่งเป็นที่ยอมรับ


แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งเมื่อสัมผัสแล้วต้องประสบนั่นคือ "กลิ่น" ติดมือยากจะลบเลือน
ให้นำยาสีฟันมาบีบลงแปรงสีฟันเก่า ๆ จากนั้นถูเบา ๆ บริเวณที่สัมผัสกระเทียม ล้างด้วยน้ำสะอาด กลิ่นกระเทียมจึงหมดไป เหลือแต่กลิ่นหอมสดชื่นของยาสีฟัน
มะขามเปียก
มะขามเปียก ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ถ้าใครเกิดท้องผูก หยิบมาจิ้มเกลือกินสักฝักสองฝักเป็นอันได้ผล แต่เรื่องของความสะอาด อันนี้ถือว่าสำคัญนัก ฉะนั้น ก่อนหยิบจับมะขามเปียกมากิน ดูให้แน่ใจว่ามีสิ่งสกปรก เชื้อราเกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้าให้ดีนำเข้าตู้ไมโครเวฟก่อน ถ้าเป็นไปได้ให้ซื้อมะขามเปรี้ยวซึ่งมีจำหน่ายเป็นฝัก ๆ มาแกะเปลือกไว้กินเองดีกว่า
อีกปัญหาหนึ่งต้องประสบกับผู้ซึ่งนิยมกักตุนมะขามเปียกไว้ใช้ แต่แล้วผ่านไปไม่นาน สีของเนื้อมะขามที่เคยออกโทนน้ำตาล กลับกลายเป็นสีดำไม่น่ากินฉะนั้น หลังได้มะขามเปียกมา ให้บรรจุลงในภาชนะที่ไม่ใช่อะลูมิเนียม โรยเกลือแกงเม็ดใหญ่ ๆ บริเวณด้านบน ปิดฝาให้สนิท เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กินมะขามเปียกสีสันตามธรรมชาติตลอดไป
อีกปัญหาหนึ่งต้องประสบกับผู้ซึ่งนิยมกักตุนมะขามเปียกไว้ใช้ แต่แล้วผ่านไปไม่นาน สีของเนื้อมะขามที่เคยออกโทนน้ำตาล กลับกลายเป็นสีดำไม่น่ากินฉะนั้น หลังได้มะขามเปียกมา ให้บรรจุลงในภาชนะที่ไม่ใช่อะลูมิเนียม โรยเกลือแกงเม็ดใหญ่ ๆ บริเวณด้านบน ปิดฝาให้สนิท เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กินมะขามเปียกสีสันตามธรรมชาติตลอดไป
มะละกอสำหรับตำส้มตำ ทำอย่างไรให้กรอบอร่อยไม่นิ่มเละ

แปลกจริงหนอเวลาลุกขึ้น มาตำส้มตำทานเองเจ้ามะละกอที่เราสับเองกับมือ มันกลับเส้นนิ่มเละตำแล้วทานไม่อร่อยเหมือนกับที่ซื้อจากเจ้าประจำ หน้าปากซอยมาทานเอาเสียเลย จะว่าสับเส้นเล็กก็ไม่ใช่จะว่าตำนานไปก็ไม่เชิง
เทคนิคง่ายมาก คว้ามะนาวขึ้นมาเลย หนึ่งลูกหรือจะใช้เปลือกมะนาวที่บีบเอาน้ำเตรียมสำหรับปรุงรสส้มตำออกแล้วก็ได้ เอามะละกอที่สับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงในอ่างใส่น้ำเปล่าลงพอท่วมเส้นมะละกอ ตามด้วยเปลือกมะนาว ถ้ากลัวเปลือกไม่พอ บีบน้ำมะนาวตามลงไปอีกหน่อย คลุกเบา ๆ ย้ำเบา ๆ นะ เบา ๆ แช่ทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะนำเส้นมะละกอขึ้นมาสะเด็ดน้ำ แล้วนำไปตำส้มตำตามปรกติ แปลกมาก เส้นมะละกอจะกรอบอร่อยจนแทบไม่น่าเชื่อ

ดีดแล้วดม เคล็ดไม่ลับซื้อสับปะรด
ถ้าใครที่นาน ๆ จะซื้อสับปะรดมาปอกรับประทานเองสักทีอาจจะมี ปัญหาว่าเลือกอย่างไรถึงจะได้สับปะรดเนื้อดี หวานฉ่ำดีดแล้วดมสิ ถ้าดีดแล้วเสียงดังแปะ ๆ ละก็ใช้ได้ ถ้าเป็นเสียงโป๊ก ๆ ละก็อย่าซื้อมาเชียว ถ้าจะซื้อแล้วปอกรับประทานวันนั้นเลยก็เลือกที่ดมแล้วมีกลิ่นหอมสับปะรดออกมา ถ้าจะเก็บไว้ ทานวันหน้าก็เลือกที่หอมน้อยหน่อย
ต้มไก่ไม่ให้หนังลอก
ถ้าคุณเคยซื้อไก่ต้มที่เขาทำขายให้เรากิน อาจจะพบว่าบางรายต้มเสียจนหนังไก่ลอกเป็นดวง อันนี้ทำให้ไม่น่าซื้อกินเลย จริงๆ แล้ววิธีต้มไก่ไม่ให้หนังลอกนั้นมีอยู่ โดยทำได้ไม่ยากนัก แต่ต้องอาศัยความใจเย็น
โดยก่อนจะต้มให้ใส่เกลือลงในท้องไก่จากนั้นเติมน้ำให้ท่วม พอเริ่มเดือดค่อย ๆ เติมน้ำลงไป เพื่อลดอาการเดือดลง เพราะถ้าปล่อยให้เดือดพล่าน โอกาสหนังไก่ลอกมีสูง และอาจทำให้เนื้อด้านนอกสุกเร็วกว่าเนื้อด้านใน
โดยก่อนจะต้มให้ใส่เกลือลงในท้องไก่จากนั้นเติมน้ำให้ท่วม พอเริ่มเดือดค่อย ๆ เติมน้ำลงไป เพื่อลดอาการเดือดลง เพราะถ้าปล่อยให้เดือดพล่าน โอกาสหนังไก่ลอกมีสูง และอาจทำให้เนื้อด้านนอกสุกเร็วกว่าเนื้อด้านใน
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553
กลิ่นสาบเป็ดไม่ถูกกับน้ำมะนาว
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิธีดูว่าไข่เน่าหรือไม่


วิธีก็คือ ให้เอาไข่ไปลอยน้ำ ไข่เสียหรือไข่เน่าจะลอยน้ำเสมอ ส่วนไข่ที่ยังดีอยู่จะจมน้ำ
ทีนี้ก็ไม่ต้องกลัวกลิ่นไข่เน่าอีกแล้ว
เคล็ดลับ การย่างปลา

- วิธีแรก เวลาย่าง ก่อนจะวางปลาลงย่าง บนตะแกรง ให้วางตะแกรงบนไฟ ให้ร้อนเสียก่อน แล้วค่อยวางปลาลงย่าง จะช่วยให้ปลาไม่ ติดตะแกรง
- อีกวิธีนึง ให้ใช้น้ำส้มสายชู ทาตะแกรงให้ทั่วก่อนเอาไปใช้ย่างปลา จะช่วยให้ปลาไม่ติดตะแกรง
- แถมให้อีกนิด เวลาย่างปลา ถ้าไม่อยากให้มีควันคลุ้ง ขณะย่างปลา ให้ใช้ถ่านที่คุไฟดีแล้ว และใช้เกลือโรย จะช่วยให้ไม่มีควันคลุ้ง
เจียวไข่ให้หนานุ่ม


- เริ่มแรก ไข่ไก่ที่ใช้ต้องสด จะทำไข่เจียวแบบหนา ๆ อาจต้องหาคนช่วยทานซักหน่อย เพราะเวลาเจียว ก็น่าจะต้องใช้ไข่อย่างน้อย 4-5 ฟองขึ้นไป
- ตอกไข่ใส่ชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ และตีไข่ให้เข้ากัน
- ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ต้องใช้นำมันเยอะหน่อย กรอกน้ำมัน บนผิวกระทะเล็กน้อย
- รอจนน้ำมันร้อนจัด แล้วจึงเทไข่ทั้งหมดลงในกระทะ ด้วยปริมาณไข่ที่มาก จะสังเกตได้ว่า ไข่บริเวณขอบ และไข่ที่อยู่ด้านล่าง จะสุกก่อน ส่วนไข่ด้านบน จะยังเป็นน้ำไข่ดิบอยู่
- รอสักครู่จนไข่ด้านล่าง เริ่มสุกพอประมาณ เองตะหลิวเจาะตรง กลางไข่ให้เป็นรอยบาก จากนั้นแซะไข่จากด้านล่างยกขึ้น ให้น้ำไข่ดิบ ไหลจากช่องตรงกลาง ลงมาสัมผัสผิวกระทะ อาจแยกแซะฝั่งซ้าย 1 ครั้ง ฝั่งขวา 1 ครั้ง
- รอครู่หนึ่งจนน้ำไข่ที่ไหลลงไปเริ่มสุก ถ้ายังมีน้ำไข่ค้างอยู่อีกให้ทำอีก แต่ถ้าไม่มีแล้วก็ให้กลับไข่ (อันนี้ต้องใช้ฝีมือนิดนึง ถ้าอยากให้ ไข่เจียวดูเป็นแผ่นกลม แต่ถ้ายากเกินความสามารถ ก็แบ่งไข่กลับด้านทีละครั้งก็ได้)
- ถ้าเริ่มมีควันขึ้น กระทะอาจร้อนจัดเกินไป ให้ลดไฟลงเล็กน้อย จะสังเกตได้ว่าไข่จะดูฟูขึ้น ๆ พอสุกสีสวย ก็ตักขึ้นใส่จานเสริฟได้เลย
ข้อมูลจาก Thaifooddb.com
ล้างเซ่งจี๊หมูให้ไม่เหม็น
ให้ตัดมันบริเวณจุกด้านบนออกแล้วเอาจุกตรงนั้นกดให้ติดกับก๊อกน้ำ จากนั้นเปิดน้ำแรง ๆ ให้เกิดแรงดันน้ำเข้าไปในเซ่งจี๊สักครู่เซ่งจี๊จะขยายตัวออก ประมาณ 2-3 เท่าตัว จากนั้นจึงผ่าครึ่ง แล้วหั่นเป็นชิ้นโต ๆ แช่น้ำหลาย ๆ ครั้งเป็นอันใช้ได้
การล้างกระเพาะหมูไม่ให้มีกลิ่น
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิธีทำความสะอาดหอยแครง
หอยแครงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด อาทิ ลวก,ย่าง,ยำ,แกงเผ็ด เป็นต้น แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งพบบ่อย ถือเป็นอุปสรรคต่อการบริโภค คือ เมื่อนำไปย่าง หรือ ลวกทั้งเปลือกเวลาแกะออกมามักจะพบดิน ซึ่งติดอยู่ด้านใน นั่นเพราะธรรมชาติของหอยแครงอาศัยอยู่ในดินเลนนั่นเอง
วิธีทำความสะอาด
หลังจากซื้อแล้ว ให้ล้างทำความสะอาดเปลือกด้านนอก จากนั้นเทใส่ภาชนะ รินน้ำให้ท่วมตัวหอยแครง โขลกพริกขี้หนูสดพอแหลก 1 กำมือใส่ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ความเผ็ดจะทำให้หอยแครงคายดิน ออกมา จากนั้นล้างทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วนำไปประกอบอาหารได้ตามต้องการ
วิธีทำความสะอาด
หลังจากซื้อแล้ว ให้ล้างทำความสะอาดเปลือกด้านนอก จากนั้นเทใส่ภาชนะ รินน้ำให้ท่วมตัวหอยแครง โขลกพริกขี้หนูสดพอแหลก 1 กำมือใส่ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ความเผ็ดจะทำให้หอยแครงคายดิน ออกมา จากนั้นล้างทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วนำไปประกอบอาหารได้ตามต้องการ
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
หมักเนื้อสัตว์ให้เปื่อย
วิธีหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่นหมู เนื้อ ไก่ ให้เปื่อยอีกวิธีหนึ่งนอกจากการใช้ยางมะละกอ น้ำสับปะรด หรือผงโซดาไบคาร์บอเนตใส่หมักลงไปให้เนื้อเปื่อยแล้วนั่นคือ การหมักด้วยซีอิ๊ว น้ำมันพืช พริกไทยและ เหล้าอีกนิดหน่อยหมักประมาณ 2 ชั่วโมงเนื้อก็จะทั้งนุ่มทั้งเปื่อยดี
หรือ เพื่อเพิ่มความนุ่ม หอม อร่อย เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว คอหมู หมูสามชั้นเนื้อ สามารถใช้สูตรการหมักดังนี้ (สำหรับปริมาณเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม)
- น้ำมันงา 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันสลัด 3 ช้อนโต๊ะ
- พริกไทยป่น 1 กรัม
- งาขาว 1 กรัม
- เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
- เกลือนิดหน่อย
หมักทิ้งไว้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
เพิ่มเติมจาก Internet ที่มีผู้รวบรวมไว้
- หมักด้วยผงฟูที่ใช้ทำเค้ก จะได้หมูแบบหยุ่นๆ เหมือนราดหน้าหมู ลองไปอ่านกล่องผงฟูดูมันจะมีเบคกิ้งโซดาอยู่เป็นส่วนใหญ่ ใช้แทนกันคงได้ แต่คนที่กินด้วยนี่บอกว่าเวลาเอาไปย่างกับกะทะเป็นเสต็กแบบฝรั่ง มันไม่ค่อยเกรียมอย่างที่เค้าอยากกิน
- หมักด้วยน้ำมันพืช จะได้หมูแบบหมูปิ้งที่เค้าปิ้งขาย กินกับข้าวเหนียว แต่เหมือนกับว่าเค้าจะใส่แป้งมันลงไปด้วย ถ้าหาแป้งมันไม่ได้ ใช้แป้งข้าวโพดแทนได้ ถ้าเป็นหมูปิ้งที่ขาย เค้าจะหมักข้ามคืน แต่แบบนี้ต้องไม่กลัวอ้วน เพราะมันจะอ้วนได้ใจเลย
- หมักด้วยน้ำสับปะรด อันนี้คงได้หมูแบบเปื่อยๆ
- หมักด้วยไข่ขาว ถ้าที่บ้านใช้ไข่แดงทำขนมแล้วไข่ขาวเหลือนี่ น่าสนใจมาก คนที่เคยทำเค้าบอกว่าเค้าจะแล่หมูใส่ถุงซิปล็อคแล้วใส่ไข่ขาวลงไปคลุกๆให้เข้ากัน แล้วเอาเข้าตู้แข็งทั้งอย่างนั้น พอจะกินก็เอามาใช้ทีละถุง เค้าบอกว่านิ่มมากแต่ไม่ยุ่ย ถ้าจำไม่ผิดเค้าบอกว่าอัลบูมินในไข่ขาวมันจะไปทำปฏิกริยาอะไรซักอย่างกับไอ้ เจ้าที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อที่มันยึดเนื้อไว้ให้เนื้อเหนียวน่ะค่ะ (คลับคล้ายคลับคลานะคะ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน คนเขียนก็จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ) อันนี้ไม่เคยทำเหมือนกัน
- หมักด้วยหอมห้วใหญ่ อันนี้เคยเห็นในรายการทีวีของญี่ปุ่น เค้าจะสับหอมหัวใหญ่ให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปรวมกับเนื้อ ไม่รู้ว่าเค้าหมักนานแค่ไหนเหมือนกัน เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เค้าเอามาพิสูจน์ความนุ่มเทียบกับเนื้อที่ไม่ได้หมัก (สไตล์รายการญี่ปุ่นน่ะ ลองนึกภาพตาม) ในเนื้อมันจะนุ่มแบบชุ่มฉ่ำ
-ใช้ผงฟู แป้งข้าวโพด แล้วก็น้ำมัน ปนกันหมด หมักแค่ชั่วโมงเดียว เพราะไม่ค่อยคิดรายการอาหารข้ามวัน
อัน นี้เป็นส่วนเฉพาะที่ทำให้เนื้อมันนุ่ม ส่วนจะหมักด้วยซอส หรือเครื่องปรุงรสอะไรก็แล้วแต่ว่าจะเอาไปทำอาหารอะไร
- หมักด้วยน้ำมันพืช จะได้หมูแบบหมูปิ้งที่เค้าปิ้งขาย กินกับข้าวเหนียว แต่เหมือนกับว่าเค้าจะใส่แป้งมันลงไปด้วย ถ้าหาแป้งมันไม่ได้ ใช้แป้งข้าวโพดแทนได้ ถ้าเป็นหมูปิ้งที่ขาย เค้าจะหมักข้ามคืน แต่แบบนี้ต้องไม่กลัวอ้วน เพราะมันจะอ้วนได้ใจเลย
- หมักด้วยน้ำสับปะรด อันนี้คงได้หมูแบบเปื่อยๆ
- หมักด้วยไข่ขาว ถ้าที่บ้านใช้ไข่แดงทำขนมแล้วไข่ขาวเหลือนี่ น่าสนใจมาก คนที่เคยทำเค้าบอกว่าเค้าจะแล่หมูใส่ถุงซิปล็อคแล้วใส่ไข่ขาวลงไปคลุกๆให้เข้ากัน แล้วเอาเข้าตู้แข็งทั้งอย่างนั้น พอจะกินก็เอามาใช้ทีละถุง เค้าบอกว่านิ่มมากแต่ไม่ยุ่ย ถ้าจำไม่ผิดเค้าบอกว่าอัลบูมินในไข่ขาวมันจะไปทำปฏิกริยาอะไรซักอย่างกับไอ้ เจ้าที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อที่มันยึดเนื้อไว้ให้เนื้อเหนียวน่ะค่ะ (คลับคล้ายคลับคลานะคะ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน คนเขียนก็จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ) อันนี้ไม่เคยทำเหมือนกัน
- หมักด้วยหอมห้วใหญ่ อันนี้เคยเห็นในรายการทีวีของญี่ปุ่น เค้าจะสับหอมหัวใหญ่ให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปรวมกับเนื้อ ไม่รู้ว่าเค้าหมักนานแค่ไหนเหมือนกัน เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เค้าเอามาพิสูจน์ความนุ่มเทียบกับเนื้อที่ไม่ได้หมัก (สไตล์รายการญี่ปุ่นน่ะ ลองนึกภาพตาม) ในเนื้อมันจะนุ่มแบบชุ่มฉ่ำ
-ใช้ผงฟู แป้งข้าวโพด แล้วก็น้ำมัน ปนกันหมด หมักแค่ชั่วโมงเดียว เพราะไม่ค่อยคิดรายการอาหารข้ามวัน
อัน นี้เป็นส่วนเฉพาะที่ทำให้เนื้อมันนุ่ม ส่วนจะหมักด้วยซอส หรือเครื่องปรุงรสอะไรก็แล้วแต่ว่าจะเอาไปทำอาหารอะไร
การทอดเบคอนไม่ให้งอ
เบคอนที่เรามักจะเห็นขายอยู่ตามซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆมีหลายยี่ห้อ ควรเลือกซื้อเฉพาะที่ยังใหม่สดโดยสังเกตุเนื้อจะมีสีชมพูอ่อนๆส่วนมันจะมีสีขาว เมื่อนำมาทอดแผ่นเบคอนมักจะบิดงอแลดูไม่สวยงามและทำให้การจัดอาหารในจานทำได้ไม่สวยนัก
วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีคือนำเบคอนมาจุ่มด้วยนมสดให้ทั่วทั้งแผ่นก่อนแล้วจึงนำลงทอดในกระทะที่ใช้ไฟปานกลาง ทอดจนเบคอนมีสีเหลืองและกรอบเบคอนก็จะยังไม่บิดงอ
วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีคือนำเบคอนมาจุ่มด้วยนมสดให้ทั่วทั้งแผ่นก่อนแล้วจึงนำลงทอดในกระทะที่ใช้ไฟปานกลาง ทอดจนเบคอนมีสีเหลืองและกรอบเบคอนก็จะยังไม่บิดงอ
การทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน
ปกติในการทอดอาหารมักจะอมน้ำมันทำให้เกิดการสิ้นเปลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทแป้งจะเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การทอดปาท่องโก๋ การทอดโดนัท เป็นต้น หากเราใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อยผสมลงในน้ำมันจะช่วยให้ไม่อมน้ำมัน ทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้นเพราะรับประทานแล้วไม่เลี่ยนและยังทำให้ร่างกายไม่ได้รับไขมันมากเกินไป
ต่อไปนี้เป็นความเห็นและเทคนิคของบุคคลต่างๆ ที่รวบรวมมาจาก Internet ใครชอบแบบไหน ทดลองทำแล้ว ได้ผลเป็นประการใด ท่านสามารถมาร่วมแบ่งปันความรู้โดยแจ้งหรือให้ข้อคิดเห็นได้ในบล็อกนี้
ต่อไปนี้เป็นความเห็นและเทคนิคของบุคคลต่างๆ ที่รวบรวมมาจาก Internet ใครชอบแบบไหน ทดลองทำแล้ว ได้ผลเป็นประการใด ท่านสามารถมาร่วมแบ่งปันความรู้โดยแจ้งหรือให้ข้อคิดเห็นได้ในบล็อกนี้
- ใช้น้ำมันปาล์มแล้วอาหารจะกรอบอร่อยจริง แต่ในน้ำมันปาล์ม มีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง จึงไม่ดีกับสุขภาพเท่าไหร่นัก ส่วนน้ำมันเมล็ดฝ้าย เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำกว่าน้ำมันปาล์ม และมีจุดเดือดสูง ทำให้เหมาะกับการทอดแบบ Deep Fried ทำให้อาหารกรอบนาน และที่สำคัญ น้ำมันเมล็ดฝ้ายมีคุณสมบัติคือ ช่วยให้อาหารทอดเก็บได้นาน ไม่เหม็นหืนง่าย สำหรับน้ำมันถั่วเหลือง ไม่เหมาะสำหรับทอด เพราะมีจุดเดือดไม่สูงมาก หากอยู่ในความร้อนนาน ๆ จะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
- ของทอดนำมันร้อนจริงๆถึงจะลงทอดได้ แต่ต้องไม่ปล่อยจนมีควัน ถ้ากลัวน้ำมันกระเด็นใส่เกลือลงไปนิดนึง ตักขึ้น ต้องมีตะแกรงรองรับน้ำมัน น้ำมันหยดออกหมดแล้วถึงจะจัดลงจานถ้ายังไม่แน่ใจให้ใช้กระดาษซับน้ำมันรองจานพัก แล้วค่อยจัดใส่จานเมื่อถึงเวลาเสิร์ฟ
- หลังจากการทอดแล้ว มักจะมีการอบด้วยเตาอบ ที่อุณหภูมิต่ำ ที่ 60 -80 องศาc สัก 5-10นาที จะเป็นการไล่น้ำมันที่มีการตกค้างจากการอมน้ำมัน วิธีการนี้ ใช้ในการทำให้ทุเรียนทอด กล้วยทอด มันทอด และขนุนทอด คงสภาพความกอบได้ดีทีเดียว
- ต้องทอดในอุณหภูมิที่เหมาะสม อะไรที่ทอดนานไฟอ่อนจะอมน้ำมัน ต้องตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทอดไฟแรง จะลดการอมน้ำมันไปได้มากครับ เมื่อเอาออกจากกระทะแล้วให้เอาวางลงบนกระดาษซับน้ำมันหาซื้อได้ตามห้างทั่ว ไปครับ ต้องทิ้งไว้อย่างน้อยสิบนาที จึงนำไปรัปประทานครับ จะให้ดีขึ้นอีกคือให้ทอดไฟปานกลางสักสามนาที เอาออกวางบนกระดาษทิ้งไว้ห้านาทีแล้วเอาลงไปทอดใหม่ให้ไฟแรงหนึ่งนาที แล้วเอาออกวางบนกระดาษทิ้งไว้สิบนาที จึงค่อยเอาไปรับประทาน
- ขอตอบเรื่องปลาทอดก่อนเลย ปริมาณน้ำมันต้องเกือบๆท่วมตัวปลา ควรเลือกภาชนะทรงสูง เช่นหม้อ แ่ต่ต้องให้เหมาะสมกับตัวปลา เพื่อเป็นการประหยัดน้ำมัน พอน้ำมันร้อนจัด แต่ไม่ไหม้ สังเกตุได้จากการเคลื่อนที่ของน้ำมัน ใ่ส่ปลาลงไป สักหนึ่ง ถึงสองนาที ลดไฟลง ทอดไฟปากลางต่อไปจนเหลืองแล้วเร่งไฟแรงเพื่อไล่น้ำมันออกจากเนื้อปลา ทำทีล่ะด้านเหมือนกันจนเหลืองกรอบ พักปลาบนตะแกรงจนสะเด็ดน้ำมันจริงๆ เท่านี้ก็อร่อยแล้ว อีกอย่างถ้าปลาทาเกลือทอด จะดีกว่าไม่ติดหม้อหรือกระทะด้วย
- น้ำมันที่ทอดต้องเป็นน้ำมันปาล์ม คือน้ำมันปาล์มต้องร้อน ร้อนหรือไม่ก็ให้ลองใส่อะไรลงไป เช่น แป้งทอดเป็นต้น แต่วิธีทอดเมื่อใส่ลงกะทะแล้ว สำคัญสุดๆ ห้ามพลิกไปพลิกมาเป็นอันขาด จะอมน้ำมันก็ตอนนี้ ให้สุกเหลืองก่อนแล้วจึงพลิกกลับมาทอดอีกด้าน อันนี้ทอดแบบประหยัดน้ำมันนะ หากไม่กลัวเปลือง ก็ใส่น้ำมันให้เยอะชนิดที่ใส่อะไรลงไปจนมิดเลย แต่ห้ามพลิกเล่นนะ และอย่านำน้ำมันมาทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งเพราะจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
- การทอดที่ไม่ให้อมน้ำมันมีวิธีการทำคล้่ายๆกันเพียงแต่เทคนิกการทำอาหารบางชนิดอาจแตกต่างกันไปอย่างเช่นการทอดปลาควรเท่น้ำมันให้ท่วมตัวปลาโดยต้องรอ ให้ร้อนจึงใส่ปลาลงไปพอกับการทอดหมูพอเหลืองค่อยพลิกอีกด้่านส่วนปอเปี๊ยะ ส่วนประกอบทุกอย่างเมื่อล้างหรือเอามาปรุงไส้ต้องให้ความชื้นแห้งพอสมควร ค่อยห่อแป้งแล้วลงทอดโดยใช้ไฟร้อนพอสมควรที่สำคัญแป้งต้องไม่เปียกจนเกินไป
- ถ้าจะทอด ผัก หรือ กล้วยทอด ให้ใส่น้ำมันพืช ลงในแป้ง 1 ช้อนโต๊ะ เพราะน้ำมันพืชในแป้งที่ชุปทอด จะไล่น้ำมันที่อยู่ภายนอกไม่ให้เข้ามาฝังตัว และกรอบด้วย
- ทอดด้วยไฟแรงปานกลาง แล้วน้ำมันต้องร้อนจัดก่อนนำของลงทอด จะทำให้ไม่อมน้ำมัน ถ้าทอดหมูหรือไก่ ควรคลุกแป้งกรอบเล็กน้อยโดยโรยแป้งแล้วคลุกแบบแห้งๆ จะทำให้อาหารเหลืองกรอบนานด้วยค่ะ ถ้าทอดปลาให้ทำให้ปลาหมาดๆแล้วโรยเกลือที่ตัวปลาเล็กน้อยให้ทั่วทำให้ไม่ ติดกระทะด้วย
เก็บใบแมงลัก ใบโหระพา ไว้ใช้ได้หลายๆวัน
ใบผักอย่างใบแมงลักหรือใบโหระพา เป็นผักที่ช้ำและเน่าเสียได้ง่าย ถ้าบังเอิญคุณซื้อมามากจนเกินไปแล้วอยากจะเก็บไว้ให้ใช้ได้หลาย ๆ วัน ให้เด็ดใบออกจากก้าน ผึ่งไว้พอแห้ง (ไม่ต้องล้างน้ำ แต่ก็อย่าเผลอผึ่งไว้ซะจนแห้งกรอบ) นำใบที่เด็ดแล้วใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น ให้มีลมอยู่ในถุงบ้าง จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา ก็จะเก็บไว้ใช้ได้หลายวัน

นอกจากจะใช้เป็นอาหารแล้วยังมีคุณค่าทางยาช่วยขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เมล็ดเมื่อแช่น้ำจะพองตัวใช้รับประทานแก้บิด ช่วยหล่อลื่นลำไส้

ส่วนเม็ดแมงลักก็มีสรรพคุณ คือ มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย
10 เครื่องเทศแห้งยอดนิยมในเมืองไทย
จุดเด่นของอาหารไทยประการหนึ่งก็คือ มีการใช้เครื่องเทศอยู่หลายชนิด ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาดของอาหารแล้ว บางชนิดยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ต่อไปนี้คือเครื่องเทศที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารไทย ซึ่งได้รวบรวมมาจากเว็บไซต์ ToptenThailand.com
(กรุณาเลื่อน Scroll Bar เพื่ออ่าน)
(กรุณาเลื่อน Scroll Bar เพื่ออ่าน)
ข้อมูลจาก : www.toptenthailand.com
การคั่วพริกไม่ให้มีกลิ่นฉุน
หลายๆคนอาจเคยคั่วพริกแห้งไว้กินเองที่บ้าน เพราะว่าสะอาด สด ใหม่ กว่า การนำพริกแห้งมาใช้ทำให้เราได้อาหารที่มีรสและกลิ่นที่ชวนรับประทานมากขึ้น แต่การคั่วพริกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครัวที่มีการระบายอากาศไม่ดีพอกลิ่นฉุนที่ออกมาจากกการคั่วทำให้มีอาการแสบตาและมีกลิ่นฉุนที่รุนแรงพอสมควร วันนี้มีเคล็ดลับในการคั่วพริกไม่ให้มีกลิ่นฉุนมาฝาก
วิธีลดกลิ่นฉุนดังกล่าว ทำได้โดยการใส่เกลือป่นลงไปในกระทะเล็กน้อย เท่านี้กลิ่นฉุนก็จะบรรเทาไปมาก
หรืออีกวิีธีหนึ่ง เพียงแค่ทาน้ำมันพืชลงในกระทะที่จะคั่วให้ทั่ว จากนั้นนำพริกไปคั่วไฟอ่อนๆ เพียงเท่านี้ ก็จะได้พริกแห้งคั่วที่น่ากิน แถมไม่ส่งกลิ่นรบกวนทั้งตัวเองและผู้อื่นด้วย
การเผามะเขือให้อร่อย
ภาพจาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sweetheart-bakery&month=05-2008&date=23&group=1&gblog=12
มะเขือยาวเวลาจะเอาไปทำอาหารบางประเภท ต้องเอาไปเผาก่อน แต่ถ้าเผาไม่เป็นก็จะได้ มะเขือเผาเนื้อแข็ง ทานไม่อร่อย ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเรากลัวมะเขือจะไหม้ เลยใช้ไฟอ่อน กลับกลายเป็นว่าต้องใช้าเวลาเผานาน เนื้อมะเขือที่ปอกแล้วเลยมีสีน้ำตาล แข็ง ไม่น่าทาน วิธีเผามะเขือยาวที่ถูกต้องให้ใช้ไฟแรงค่ะ กลับไปมาจนสุกทั่ว จากนั้นเอาไปจุ่มน้ำเย็นสักครู่หนึ่ง เมื่อลอกเปลือกออก เนื้อมะเขือข้างในจะยังนุ่มและมีสีเขียวสวย น่าทาน
การต้มผัก
การต้มผักใบ
ให้ตัดผักออกเป็นก้านๆล้างให้สะอาด นำหม้อขึ้นตั้งไฟใช้ไฟแรงใส่น้ำน้อย ใส่น้ำมัน 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา เวลาต้มให้ใส่ก้านลงก่อนแล้วจึงค่อยๆใสลงไปทั้งต้น เมื่อผักสุกให้นำขึ้นและจุ่มน้ำเย็นทันที ผักจะเขียวเท่าๆกันทั้งต้น
การต้มผักประเภทหัว
ควรต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงใส่ผักที่ล้างสะอาดแล้วลงไปประมาณ 20 นาที เมื่อนำขึ้นก็ให้แช่ในน้ำเย็นทันทีจะทำให้ปอกเปลือกง่าย ควรต้มทั้งเปลือกเพื่อไม่ให้สูญเสียความหวานของผัก
ในการต้มผัก หากเหยาะน้ำมันพืชเล็กน้อยจะทำให้ผักมีผิวมันน่ากินยิ่งขึ้น ส่วนผักสีขาว เช่นกะหล่ำปลี และหัวไชเท้า ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย
ให้ตัดผักออกเป็นก้านๆล้างให้สะอาด นำหม้อขึ้นตั้งไฟใช้ไฟแรงใส่น้ำน้อย ใส่น้ำมัน 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา เวลาต้มให้ใส่ก้านลงก่อนแล้วจึงค่อยๆใสลงไปทั้งต้น เมื่อผักสุกให้นำขึ้นและจุ่มน้ำเย็นทันที ผักจะเขียวเท่าๆกันทั้งต้น
การต้มผักประเภทหัว
ควรต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงใส่ผักที่ล้างสะอาดแล้วลงไปประมาณ 20 นาที เมื่อนำขึ้นก็ให้แช่ในน้ำเย็นทันทีจะทำให้ปอกเปลือกง่าย ควรต้มทั้งเปลือกเพื่อไม่ให้สูญเสียความหวานของผัก
ภาพจาก : http://www.bloggang.com/data/tanja-nl/picture/1245850715.jpg
ในการต้มผัก หากเหยาะน้ำมันพืชเล็กน้อยจะทำให้ผักมีผิวมันน่ากินยิ่งขึ้น ส่วนผักสีขาว เช่นกะหล่ำปลี และหัวไชเท้า ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย
อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักบางชนิด ได้แก่ บล็อคโคลี่ กะหล่ำดอก และกะหล่ำปมนั้น จะทำลายสารที่เป็นคุณกับการต่อต้านโรคมะเร็งลงไปมากถึง 75% โดยในผักประเภทนี้จะมีสารสำคัญชนิดหนึ่งคือ สารกลูโคซิโนเลต ซึ่งมีศักยภาพในการต้านมะเร็งที่สำคัญ โดยจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ การต้มผักนานๆจะทำให้สารตัวนี้หายไป
สำหรับวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผักยังคงคุณค่า นอกจากการกินสดๆแล้วนั้น ก็คือการนึ่ง โดยไม่ควรนึ่งนานเกิน 20 นาที ก็จะช่วยรักษาคุณค่าของผักในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80%

วิธีต้มน้ำซุป
การทำแกงจืดเพื่อให้รสดี และเพิ่มคุณค่าของอาหารมากขึ้น จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ จะต้องทำจากน้ำซุป ( น้ำ ต้มกระดูก ) ซึ่งทำจากกระดูกสดของเป็ด ไก่ หมู วัว และปลา ต้มกับเกลือและผักต่างๆ เช่น หัวผักกาด ต้นขึ้นฉ่าย ต้น หอม ผักชี หอมฝรั่ง กระหล่ำปลี หรือเศษผักที่เหลือจากประกอบอาหาร
หลักของการต้มซุป
การต้มน้ำซุปมีหลายวิธี ด้วยกัน
ข้อแนะนำ
การต้มน้ำซุป จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่เกลือพร้อมทั้งน้ำและกระดูก โดยวิธีนี้จะทำให้น้ำซุปใส เวลาต้มไม่ต้องคน ถ้าคน บ่อยแล้วจะทำให้น้ำซุปขุ่น
วิธีแก้น้ำซุปขุ่นให้ใส
ล้างเปลือกไข่ให้สะอาดพร้อมทั้งไข่ขาวดิบ 1 ฟอง ผสมให้เข้ากัน ยกหม้อน้ำซุปลงจากเตา ใส่เปลือกไข่และไข่ขาว คนให้ กระจาย ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดสักครู่ ฟองจะขึ้น จึงช้อนฟองทิ้ง น้ำซุปจะใส
- ใช้หม้อใบใหญ่และมีฝาปิด ควรใช้หม้อที่มีหูจับได้สะดวกต่อการยกขึ้นอุ่นบนเตา
- เครื่องประกอบที่จะต้มน้ำซุปนี้ต้องให้สด กระดูกสับชิ้นใหญ่ประมาณ 4 นิ้ว เนื้อหั่นชิ้นเล็กๆ ตัดส่วนมันออกให้หมด ผักหัว ปอกเปลือกแล้วหั่น ส่วนผักชนิดอื่นตัดเป็นท่อน ๆ
- แช่ในน้ำประมาณ 2 ชม. เพื่อให้น้ำหวานในกระดูกออก ใช้ไฟกลาง จนกว่าจะเดือด ใช้ทัพพี ช้อนฟองทิ้งเคี่ยวไฟ อ่อนๆต่อไป เมื่อน้ำซุปจวนจะได้ที่แล้ว ใส่ผัก และเคี่ยวต่อไป
- กรองน้ำซุปด้วนตะแกรง และใช้ผ้าขาวบางวางใต้ตะแกรงอีกชั้นหนึ่ง ส่วนไขมันที่ลอยหน้ายังไม่ต้องช้อนทิ้งจนกว่า จะใช้ เพราะไขมันนี้จะช่วยไม่ให้อากาศเข้าไปในน้ำซุป ซึ่งจะทำให้เสียง่าย น้ำซุปที่ดีต้องใส ควรทำล่วงหน้าก่อนที่จะ ใช้หนึ่งวัน ไม่ควรเก็บไว้นานวัน เฉพาะอย่างยิ่งในที่ๆมีอากาศร้อน
การต้มน้ำซุปมีหลายวิธี ด้วยกัน
- กระดูกเนื้อวัว สับแล้ว และเศษเนื้อตัดมันออกให้หมด หั่นเนื้อเล็ก ๆ 1/2กิโลกรัม น้ำ 8-10 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา แช่ ไว้ประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้น้ำหวานในกระดูกออก แล้วตั้งบนไฟกลางอ่อนๆ พอเดือด ช้อนฟองทิ้ง ปิดฝาหม้อเคี่ยว ต่อไปจนกว่าน้ำงวดลงครึ่งหนึ่ง ใส่ผักที่ต้องการแล้วเคี่ยวต่อไป จนเหลือน้ำซุปตามต้องการ น้ำซุปชนิดนี้จะออกเป็นสี น้ำตาล ( ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง )
- กระดูกไก่ - เป็ด - หมู สับแล้ว พร้อมทั้งเศษเนื้อของไก่ - เป็ด รวมกัน 1/2กิโลกรัม น้ำ 6-8 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา แช่ ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ตั้งไฟกลางอ่อนๆ พอเดือดช้อนฟองทิ้ง พอน้ำลดลงครึ่งหนึ่งใส่ผักต่างๆ และเพิ่มหอมใหญ่ พริก ไทยด้วย น้ำซุปชนิดนี้จะออกเป็นสีขาว ( ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง )
- กระดูกปลาเนื้อขาว1/2กิโลกรัม ล้างด้วยน้ำเกลือ ต้มน้ำ 5 ถ้วย ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ให้เดือด ใส่กระดูกปลาลงต้ม 20 นาที ช้อนฟองทิ้ง ใส่หอมใหญ่ ต้นขึ้นฉ่าย ต้มต่อไปอีก 10 นาที ใช้ได้ ซุปปลานี้ต้มแล้วต้องใช้ทันที
- ผักหลายๆชนิดเช่น หัวผักกาดขาว-เหลือง ต้นหอม ผักชี ขึ้นฉ่าย กระหล่ำปลี ฯลฯ รวมกัน 2 กิโลกรัม ล้าง ปอก หั่น ตามลักษณะของผัก ผักชีใช้ทั้งต้น ไม่ต้องตัดรากออก กระเทียม สับ 1 ช้อนชา เจียวในน้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ พอหอมใส่ผัก ทุกอย่างลงผัด ตักใส่หม้อ ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ใส่น้ำ 6-8 ถ้วย พริกไทย 8-10 เม็ด เคี่ยวไฟกลางอ่อนๆ ปิดฝาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ข้อแนะนำ
การต้มน้ำซุป จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่เกลือพร้อมทั้งน้ำและกระดูก โดยวิธีนี้จะทำให้น้ำซุปใส เวลาต้มไม่ต้องคน ถ้าคน บ่อยแล้วจะทำให้น้ำซุปขุ่น
วิธีแก้น้ำซุปขุ่นให้ใส
ล้างเปลือกไข่ให้สะอาดพร้อมทั้งไข่ขาวดิบ 1 ฟอง ผสมให้เข้ากัน ยกหม้อน้ำซุปลงจากเตา ใส่เปลือกไข่และไข่ขาว คนให้ กระจาย ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดสักครู่ ฟองจะขึ้น จึงช้อนฟองทิ้ง น้ำซุปจะใส
ข้อมูลจาก : Horapa.com
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิธีทำมะระไม่ให้ขม
ในการทำมะระไม่ให้ขมคงทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายๆ คือ
- ถ้าเป็นอาหารประเภทต้ม ตุ๋น ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารให้หั่นมะระควักไส้ออกให้เรียบร้อยก่อน นำไปต้มกับน้ำ ซึ่งใส่เกลือลงไปประมาณ 2 ช้อนชา เมื่อต้มจนเดือดได้สักครู่นำน้ำทิ้ง ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถทำตามขั้นตอนข้างบนได้อีก จากนั้นนำมะระลงแช่ในน้ำเย็นและใส่ไส้แล้วจึงนำไปต้มจริงอีกครั้ง

- ถ้าเป็นมะระผัดไข่ให้ซอยมะระเป็นชิ้นบาง ๆ สำหรับผัดก่อน แล้วนำไปคลุกกับเกลือขยำ ๆ แล้วทิ้งไว้สักครู่นึง แล้วล้างน้ำออกนำไปผัด

- สำหรับมะระที่ใช้เป้นผักแกล้มขนมจีนนั้น ให้หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ สำหรับทาน แล้วนำไปแช่ในน้ำเกลือสักพัก ค่อยยกออกล้างน้ำอีกทีนึง เป็นใช้ได้

- ถ้าเป็นอาหารประเภทต้ม ตุ๋น ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารให้หั่นมะระควักไส้ออกให้เรียบร้อยก่อน นำไปต้มกับน้ำ ซึ่งใส่เกลือลงไปประมาณ 2 ช้อนชา เมื่อต้มจนเดือดได้สักครู่นำน้ำทิ้ง ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถทำตามขั้นตอนข้างบนได้อีก จากนั้นนำมะระลงแช่ในน้ำเย็นและใส่ไส้แล้วจึงนำไปต้มจริงอีกครั้ง

- ถ้าเป็นมะระผัดไข่ให้ซอยมะระเป็นชิ้นบาง ๆ สำหรับผัดก่อน แล้วนำไปคลุกกับเกลือขยำ ๆ แล้วทิ้งไว้สักครู่นึง แล้วล้างน้ำออกนำไปผัด

- สำหรับมะระที่ใช้เป้นผักแกล้มขนมจีนนั้น ให้หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ สำหรับทาน แล้วนำไปแช่ในน้ำเกลือสักพัก ค่อยยกออกล้างน้ำอีกทีนึง เป็นใช้ได้
ข้อมูลจาก Eazydo.com
การต้มข้าวโพด
สำหรับคุณๆ ที่ชอบกินข้าวโพดยิ่งได้เห็นฝักสดๆ เมล็ดเต่งตึง อดจะซื้อหามาปรุงแต่ง โดยเฉพาะกับเมนูอาหารหวาน อย่างเช่นตะโก้ ข้าวโพดอบเนย หรือคลุกน้ำตาลทราย แล้วโรยด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดขาว แต่กับเมนูที่มองเหมือนง่าย ๆ อย่างข้าวโพดต้ม ซึ่งคุณแม่บ้านบ่นแล้วบ่นอีก ว่าทำอย่างไรเมล็ดก็ไม่เต่งตึง หอมหวาน น่ากินดังหวัง
เรามีเคล็ดลับ : สูตรการต้มข้าวโพดให้ทั้งหวาน ทั้งหอม แถมเมล็ดยังเต่งตึงมาฝากค่ะ เพียงคุณใส่ข้าวโพดลงในภาชนะ รินน้ำสะอาด แล้ว เติมนมสด กะให้ท่วมฝักข้าวโพด ต้มต่อกระทั่งเดือดและสุก ตักขึ้นพักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
เพียงเท่านี้ ข้าวโพดก็จะออกมาหน้าตาน่ากิน แถมหวาน มัน อร่อยแบบถึงรสถึงชาด
ประโยชน์ของข้าวโพด
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าว โพด หวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด
เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสีย คุณค่าทางอาหารลงไป สู้ กินดิบๆไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้แม้ว่าจะเสียวิตามิน ซีไป
เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาทีพบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆอย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่ เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก
พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนักแต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าว โพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่าง อื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

ประโยชน์ของข้าวโพด
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าว โพด หวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด
เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสีย คุณค่าทางอาหารลงไป สู้ กินดิบๆไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้แม้ว่าจะเสียวิตามิน ซีไป
เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาทีพบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆอย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่ เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก
พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนักแต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าว โพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่าง อื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น
ข้าวกล้องหุงอย่างไรให้นุ่ม
ข้าวกล้องเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เนื่องจากเป็นข้าวที่ผ่านการกระเทาะเปลือกออกเพียงครั้งเดียว ทำให้จมูกข้าวและรำข้าวซึ่งเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยวิตามินยังติดอยู่ ข้าวกล้องนั้นจะมีสีน้ำตาลส่วนความเข้มอ่อนนั้นจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ข้าว พื้นที่ ที่ใช้ในการปลูก และกระบวนการผลิต สาเหตุที่ข้าวกล้องยังได้รับความนิยมไม่มาก เท่าที่ควรนั้นเนื่องมาจาก เวลาที่ข้าวกล้องสุกแล้วจะมีความแข็งมากกว่าข้าวขาว
เพื่อให้ข้าวกล้องมีความนิ่ม มากขึ้นจะต้องตวงข้าวกล้องใส่หม้อ แช่น้ำไว้ประมาณ 30 นาที และอัตราส่วนในการหุงนั้นต้องใช้ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน แช่น้ำทิ้งไว้อีกประมาณ 30 นาที จึงจะนำไปหุงได้ หรืออาจใช้วิธีใส่ข้าวขาวขัดผสมลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 4 ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้ข้าวกล้องนุ่มน่ากินมากขึ้น

เพื่อให้ข้าวกล้องมีความนิ่ม มากขึ้นจะต้องตวงข้าวกล้องใส่หม้อ แช่น้ำไว้ประมาณ 30 นาที และอัตราส่วนในการหุงนั้นต้องใช้ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน แช่น้ำทิ้งไว้อีกประมาณ 30 นาที จึงจะนำไปหุงได้ หรืออาจใช้วิธีใส่ข้าวขาวขัดผสมลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 4 ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้ข้าวกล้องนุ่มน่ากินมากขึ้น
นึ่งข้าวมันให้สวย

ข้าวมันสามารถทำได้ทั้งการหุงและการนึ่ง หากใช้วิธีการนึ่งต้องคนให้กระทิผสมกับข้าวเพื่อไม่ให้กระทิลอยหน้าและไม่แตกมันและคนอีกครั้งเมื่อข้าวใกล้จะสุก ข้าวมันที่ได้จะเป็นเม็ดเงาดูน่ารับประทาน
นึ่งข้าวเหนียวให้สวย


ข้าวเหนียวอาหารหลักของชาวอีสานและอาหารโปรดของหลายๆคน รับประทานกับส้มตำ ไก่ย่าง อร่อยอย่าบอกใครเชียว ในการนึ่งข้าวเหนียวให้สวยคือเมื่อนึ่งเสร็จแล้วจะเป็นเงาดูสวยน่ารับประทานมีวิธีง่ายๆโดยการนำข้าวเหนียวไปแช่น้ำแกว่งด้วยสารส้มประมาณ 5 นาที ซาวน้ำออก 2-3 ครั้ง จากนั้นแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนจึงนำไปนึ่งในน้ำเดีอด ไฟแรงจนสุก ข้าวเหนียวที่ได้ก็จะเงาดูสวยน่ารับประทาน