วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

สาธิตการทำน้ำพริกกุ้งเสียบ

     ครูนิ่มนวล จันทสอน มีฝีมือในการทำอาหารหลายอย่าง และน้ำพริกปลาดุกฟูก็เป็นอีกเมนูหนึ่งที่มีคนติดใจกันมาก จนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับกระเช้าของฝากประจำโรงเรียนพลาธิการ

     ครูนิ่มนวลฯ และ ร.อ. หญิง ปาริชาติ ช่อทองดี ได้ร่วมกันถ่ายทำวีดีโอชุดนี้ขึ้น เืพื่อถ่ายทอดความรู้เมนูเด็ดนี้ให้แก่ผู้สนใจได้รับชมและนำไปฝึกทำกันดังต่อไปนี้ :


สาธิตการทำน้ำพริกปลาดุกฟู

     อีกหนึ่งตำรับของน้ำพริกที่เป็นสุดยอดความอร่อยและถือเป็นน้ำพริกประจำกระเช้าของฝากในเทศกาลต่างๆ ของโรงเรียนพลาธิการ ซึ่งเราภูมิใจนำเสนอในวันนี้ก็คือ "น้ำพริกปลาดุกฟู"

     น้ำพริกถ้วยนี้ ครู นิ่มนวล จันทสอน ร่วมกับ ร.อ. หญิง ปาริชาติ ช่อทองดี ได้ร่วมกันถ่ายทอดวิธีการให้เราได้รับทราบกันผ่านทางวีดีโอดังนี้ :


วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำเนื้อย่างให้อร่อย


เนื้อย่าง



นำเนื้อไปแช่ในน้ำส้มสายชู ผสมยางมะละกอดิบ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที 
  
แล้วนำเนื้อที่แช่แล้ว
ไปห่อด้วยผ้าขาวบาง หรือผ้าดิบ 


ใช้ฆ้อนยางทุบให้ทั่วก้อนเนื้อ แล้วนำเนื้อไปย่าง จะได้เนื้อย่างที่นุ่ม
น่ารับประทาน 

การแกะสลักแคนตาลูป(ดอกบานชื่นกึ่งรักเร่แปลง)


ดอกบานชื่นกึ่งรักเร่แปลง

ตอนที่ 1


ตอนที่ 2

แกะสลักฟักทองเป็นรูปดอกรักเร่


ดอกรักเร่

     ดอกรักเร่เป็นดอกไม้กลีบกว้าง เกสรเป็นร่องอยู่กลางกลีบ มีวิธีแกะสลักดังนี้


สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีบาง
3. ฟักทอง

วิธีทำ
ขั้นที่ 1 เกลาฟักทองให้มน ทำวงเกสร แกะสลักเกสรหันปลายกลีบเข้าหาจุดศูนย์กลาง ปาดเนื้อกลางกลีบให้เป็นร่อง
ขั้นที่ 2 ปาดเนื้อใต้กลีบ แกะสลักขั้นต่อไปให้สับหว่าง
ขั้นที่ 3 แบ่งระยะกลีบ ปาดเนื้อกลางกลีบให้เป็นร่อง แล้วจึงแกะสลักกลีบให้ปลายแหลม
ขั้นที่ 4 ดอกรักเร่ข้างกลีบจะโค้งน้อยๆ ปลายแหลม เซาะเนื้อข้างกลีบออก
ขั้นที่ 5 ปาดเนื้อใต้กลีบออกทุกครั้ง กลีบจะเด่น
ขั้นที่ 6 แกะสลักกลีบขั้นต่อไปให้สับหว่าง เช่นนี้ จนจบ
ขั้นที่ 7 ตัดเนื้อใต้ฐานกลีบออกให้หมด
ขั้นที่ 8 ดอกรักเร่ กลีบจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นที่ละน้อย

------------------------------

แกะสลักฟักทองเป็นรูปดอกกุหลาบ


ดอกกุหลาบ

     ดอกกุหลายเป็นดอกไม้ที่มีกลีบใหญ่ซ้อนเยื้องกัน ถ้าแกะสลักกับฟักทองจะมีสีเหลืองสวย นำมาเชื่อมเป็นอาหารหวาน ถ้าเป็นมะละกอดิบ นำมาแช่อิ่มหรือจะใช้ประโยชน์ในการตกแต่งผลไม้ เลือกวัสดุที่จะนำมาแกะสลักได้หลายอย่าง มีขั้นตอนดังนี้


สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีดบาง
3. ฟักทอง มะละกอ

วิธีทำ
ขั้นที่ 1 เกลาฟักทองให้กลม แกะสลักวงเกสรเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม. ปาดเนื้อฟักทองออก
ขั้นที่ 2 เกลาวงเกสรให้กลม แกะสลักกลีบกุหลาบชั้นใน
ขั้นที่ 3 เซาะกลีบกุหลาบให้ตั้ง ปาดเนื้อข้างกลีบออก
ขั้นที่ 4 ข้างกลีบจะซ้อนเยื้องกัน
ขั้นที่ 5 กลีบชั้นสองจะสับหว่างชั้นแรกและปลายกลีบต่ำเล็กน้อย
ขั้นที่ 6 แกะสลักกลีบวงรอบนอก เซาะเนื้อฟักทองให้เป็นร่องลึก โค้งกลีบให้ยาวตามร่องเดิม ปลายกลีบซ้อนทับกัน
ขั้นที่ 7 แกะสลักกลีบวงรอบนอกเนื้อฟักทองให้เป็นร่องลึก โค้งกลีบ
ขั้นที่ 8 ปาดเนื้อใต้กลีบออก กลีบจะตั้งขึ้น
ขั้นที่ 9 กลีบรอบนอกจะบาน ตัดเนื้อใต้กลีบออกให้หมด
ขั้นที่ 10 กุหลาบเมื่อแกะสลักเสร็จแล้ว กลีบชั้นในตั้ง ชั้นนอกบานออก

-----------------------------------------------

แกะสลักแตงร้านเป็นรูปใบไม้


ใบไม้พลิ้ว

     ใบไม้ที่มีลักษณะพลิ้ว จะโค้งเล็กน้อย ปลายบิด มองดูเหมือนมีความอ่อนไหวตามธรรมชาติ




     ขั้นตอนในการแกะสลักมีดังนี้

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีดบาง
3. แตงร้าน

วิธีทำ
ขั้นที่ 1 ตัดแตงร้านส่วนปลายออกเล็กน้อย ใช้มีดควั่นให้เป็นเกลียวตามยาวผลลึกถึงเมล็ด ระยะห่างกันประมาณ 3 – 4 ซม.
ขั้นที่ 2 ตัดแตงร้านให้ขาดจากกัน แบ่งเป็น 2 ส่วน
ขั้นที่ 3 ฝานเมล็ดออกแต่งรูปร่างใบไม้ให้ปลายแหลม เจียนริมใบให้บาง ใบไม้จะมีลักษณะโค้งเล็กน้อย
ขั้นที่ 4 เซาะร่องเส้นกลางใบให้เป็นแนวคู่
ขั้นที่ 5 ตัดแต่งก้านใบให้ยาวประมาณ 1 ซม.
ขั้นที่ 6 หยักริมใบทั้งสองข้างให้ปลายแหลม เว้นระยะห่างกันประมาณ ½ ซม.
ขั้นที่ 7 เซาะเส้นใบตลอดแนวให้เป็นร่องปลายแหลม

---------------------------

แกะสลักแคนตาลูปเป็นรูปดอกรักเร่กลีบซ้อน

     การแกะสลักผักและผลไม้ของไทย เป็นงานฝีมือที่เป็นศิลปะ ประกอบด้วยการตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม ยากที่จะหาชาติใดทัดเทียมได้ ศิลปะแขนงนี้สืบเนื่องมาแต่โบราณ แต่มิได้แพร่หลายทั่วไป ทั้งที่เป็นศิลปะเก่าแก่ประจำชาติไทย เนื่องจากเดิมเป็นวิชาการชั้นสูงของกุลสตรีในรั้วในวัง ซึ่งจะต้องฝึกฝนและเรียนรู้จนเกิดความชำนาญ

     กรมพลาธิการทหารเรือ มีภารกิจในการให้บริการจัดเลี้ยงงานต่างๆ แก่หน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกองทัพเรือ ซึ่งการแกะสลักผักและผลไม้นี้ มักมีส่วนสำคัญในการประดับตกแต่งอาหารหรือบรรยากาศภายในบริเวณงานให้มีความ สวยงามและเพิ่มคุณค่าได้อย่างดียิ่ง

     เพื่อให้กำลังพลของกรมพลาธิการและรวมไปถึงกำลังพลที่ทำหน้าที่ในสายวิทยาการ ด้านการบริการจัดเลี้ยงตามหน่วยต่างๆ ได้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการแกะสลักผักและผลไม้ โรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือจึงได้รวมรวมความรู้และเทคนิควิธีการแกะสลักในรูปแบบที่ ง่ายๆ และใช้บ่อย ๆ โดยจัดทำเป็นวีดีโอ บรรจุลงในเว็บไซต์/บล็อกการจัดการความรู้ของหน่วย ซึ่งกำลังพลที่สนใจสามารถเข้าชมได้ในแบบ Stream Video

ดอกรักเร่กลีบซ้อน

แกะสลักแตงร้านเป็นรูปดอกบัวสาย

   

ดอกบัวสาย


ดอกบัวเป็นดอกไม้กลีบบาง ซ้อนหลายชั้น มีหลายสี หลายพันธุ์ เลือกแตงกวาผลขนาดกลางแกะสลักให้กลีบซ้อนสับหว่างกัน แต่งปลายให้แหลม



     
ขั้นตอนการแกะสลักมีดังนี้

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. มีดแกะสลัก
2. มีดบาง
3. แตงกวา/แตงร้าน

วิธีทำ
ขั้นที่ 1 ตัดแตงกวาตามขวางผล ออกประมาณ 1 ใน 3 ส่วน
ขั้นที่ 2 แบ่งตามหน้าตัดให้ได้ 10 กลีบ แตงกวาบางผลมีลายเส้นบนเปลือก สะดวกในการแบ่งกลีบ
ขั้นที่ 3 ใช้ปลายมีดกรีดตามยาวผลเบาๆ เซาะทีละกลีบรอบผล
ขั้นที่ 4 กลีบชั้นที่ 1 เป็นผิวแตงกวาสีเขียวอ่อน ดูเหมือนกลีบเลี้ยงดอกบัว
ขั้นที่ 5 กลีบจะสับหว่างกันทุกชั้น แตงกวาผลใหญ่เนื้อหนาเซาะกลีบได้ 4 ชั้น
ขั้นที่ 6 แต่งปลายกลีบให้มน ไส้แตงกวาตัดเกลาให้ปลายแหลมเป็นเกสรดอกบัว แช่น้ำให้กลีบบานแข็ง

-------------------


วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

31 กรกฎาคม
แกะสลัก ผัก ผลไม้


... สยามเมืองยิ้มเป็นชื่อที่ทั่วโลกรู้จักและคุ้นเคย เนื่องจากความสวยงามและวิจิตของศิลปวัฒนธรรม ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ลืมเลือน แม้ได้มาแค่ครั้งเดียวก็ติดใจอยากมาอีก สิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจนั่นคือ ศิลปะของการแกะสลักผักผลไม้ที่จัดตกแต่งมาคู่กับอาหารไทยเลิศรส

มีดปลายแหลม ใช้ปอกและหั่นผัก ผลไม้

มีดแกะสลัก

มีดคว้าน ใช้คว้านเมล็ดผลไม้ออก
ที่ตักผลไม้ทรงกลมใช้ตักผลไม้ที่ให้ได้ทรงกลม หรือ ใช้ตักผลไม้ออกให้เหลือเปลือกนำไปใช้เป็นประโยชน์ เช่น ตักเนื้อแดงแตงโมออกเอาเอาเปลือกแตงโมไปทำอ่างที่ใส่พั้นช์ และเนื้อแตงโมกลมจัดเป็นผลไม้เสิร์ฟ

ที่ตัดแบบหยัก กรรไกรสำหรับตัดแต่ง ที่ปอก และฝานผลไม้

พิมพ์กดรูปต่างๆ ใช้กดผลไม้-ผักที่สไลด์มาบาง ๆ
... การแกะสลักผักผลไม้เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ดั่งที่เขียนไว้ในวรรณคดีบางเรื่องเช่น ในบทละครพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 เรื่อง " สังข์ทอง " ที่พรรณาถึงความพยายามของนางจันทร์เทวีที่นำฟักทองมาแกะสลักเพื่อเล่าเรื่องแต่หนหลัง แล้วนำมาแปรรูปเป็นเครื่องต้นถวายพระสังข์ทองเพื่อให้ทรงทราบว่าพระมารดาอยู่ไม่ไกล ดังข้อความนี้

" ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา.....คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์
ชิ้นสองต้องขับเที่ยวเซซัง.....อุ้มลูกไปยังพนาลัย
ชิ้นสามเมื่ออยู่ด้วยยายตา.....ลูกอยากออกมาช่วยขับไก่
ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร.....ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน
ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์.....ให้รับตัวลูกมาจากบ้าน
ชิ้นหกจองจำทำประจาน.....ให้ประหารฆ่าฟันให้บรรลัย
ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา.....ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล
เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรไท.....ใครใครไม่ทันจะสงกา "


... นอกจากนี้ยังมีวรรณคดีอีกหลายเรื่องที่ใช้งานศิลปะบอกความในใจ มิให้ผู้อื่นล่วงรู้ความนัย นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ..... ด้วยเหตุที่คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ ใจเย็น จึงชอบงานที่ใช้ฝีมือ งานที่ประดิบประดอยในการทำสิ่งสวยๆงามๆขึ้น ซึ่งเป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่นการนำผักผลไม้นานาชนิดที่มีสีสันสวยสดนำมาแกะเกลา ให้ได้งานชิ้นใหม่ที่มีความสวยงามเกิดขึ้น แล้วงานศิลปะชิ้นนี้ก็ได้เป็นมรดกตกทอดมาถึงรุ่นลูกหลานไทย

...การนำผักผลไม้มาแกะสลัก จุดประสงค์แรก คือ เพื่อทำให้อาหารจานนั้นเกิดความสวยงามน่ารับประทาน และทำให้สามารถรับประทานผักผลไม้ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น สมัยก่อนผู้หญิงที่เป็นแม่ศรีเรือน มีการต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยการนำผลไม้ที่ปอกเปลือกปลิ้นเอาเมล็ดออก บางชนิดก็ต้องตัดทอนเป็นชิ้น และบางชนิดก็คว้านเอาเมล็ดออก ทำให้ผู้มาเยือนเกิดความประทับใจ ... เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ และเต็มใจของผู้ทำ




... ศิลปะวัฒนธรรมไทยของเรานั้นมีอยู่มากมาย แฝงไว้ด้วยความสวยงาม อ่อนช้อย ประณีต ทั้งในแง่ของรูปธรรม และนามธรรม ตลอดจนชีวิตของผู้คน ปัจจุบันนี้ศิลปะวัฒนธรรมของไทยเรานั้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวต่างประเทศ ทั้งแถบเอเชีย และในยุโรป-อเมริกา ... การแกะสลัก ผัก ผลไม้ หนึ่งในศิลปะ อันส่อให้เห็นวัฒนธรรม งานแสดงศิลปะ งานอาหาร งานจัดเลี้ยง ที่จะขาดการจัดแต่งเสียไม่ได้ ก็คือการแสดงวิธีแกะสลักผักผลไม้นั่นเอง
... การแกะสลักผักผลไม้ของไทยเรา สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่กินของคนไทยที่ประณีต มีความเป็นผู้มีศิลปะ ไม่สุกเอาเผากิน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความปราถนาดีของผู้ประดิบประดอยผักเพื่อให้แขก หรือผู้เป็นที่รักได้รับประทานผลไม้แบบวิจิตรบรรจงและยังเป็นรูปแบบที่ใช้ประดับบนโต๊ะอาหารให้สวยงามมีศิลปะ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้มีวัฒนธรรมอีกด้วย


... การแกสลักผลไม้เหมาะอย่างยิ่งที่จะเลือกใช้ทำในโอกาสพิเศษจริงๆ เช่นการจัดโต๊ะอาหารพิเศษในวันเกิด วันฉลองความยินดีบางอย่าง วันปีใหม่ วันทำบุญ วันขึ้นบ้านใหม่ ..... การแกะสลักผลไม้ในชีวิตประจำวัน ทำได้ ขอเพียงแต่เลือกวิธีง่ายๆ ใช้ผักผลไม้ที่รับประทานเป็นประจำ ที่จะทำให้โอหารนั้นนุ่มนวล ชวนรับประทาน และเป็นสิ่งแวดล้อมให้ผู้รับประทานมีกิริยามารยาทในการรับประทานอาหารมากขึ้น
... สำหรับผู้เป็นสมาชิกของครอบครัว ก็จะเป็นการกล่อมเกลาเด็กๆ ให้คุ้นเคยกับสิ่งที่เป็นศิลปะ เป็นการสร้างความคุ้นเคยต่อวัฒนธรรมการกินของไทย และสุดท้ายสร้างรสนิยมและมารยาทในการรับประทานให้เด็กๆได้เป็นอย่างดี
การเลือกซื้อ ผักผลไม้

- หัวหอมชนิดต่างๆ เช่น หอมแดงหอมใหญ่ ควรเลือกหัวที่แน่นๆ สด เลือกหัวที่มีขนาดกลาง หรือ เล็ก โดยให้มีขนาดเท่ากัน
- แครอท ควาเลือกหัวตรงๆ ขนาดกลาง และใหญ่
- แรดิช หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หัวผักกาดแดง ควรเลือกหัวที่สดไม่เหี่ยว หัวป้อมๆ เลือกหัวที่มีขนาดกลาง โดยให้มีขนาดเท่ากันทุกหัว


- หัวไชเท้า ควรเลือกหัวตรงๆ ขนาดกลาง เปลือกใสไม่ขุ่นถ้าหัวใหญ่เนื้อจะฟ่าม

- แตงร้าน แตงกวา ควรเลือกผิวเขียว ลูกตรงขนาดกลาง สำหรับแตงกวาให้เลือกผิวเขียวๆ เนื้อจะหนากว่าแตงกวาผิวนวลล้อมเขียว

- มะเขือเทศ เลือกลูกขนาดเท่า ๆ กัน ซึ่งมะเขือเทศลูกรีๆ เนื้อจะหนากว่ามะเขื้อเทศลูกแป้นๆ เลือกลูกสดๆ ผิวไม่เหี่ยว

- ฟักทอง เลือกเนื้อหนาๆ และแน่นๆ โดยสังเกตุได้จากผิวต้องไม่ขรุขระ

- พริกชี้ฟ้า เลือกสดๆ ผิวตึงๆ เลือกเม็ดเล็กๆ เพราะถ้าใช้เม็ดใหญ่จะเต็มจาน ถ้าแกะเป็นดอกหน้าวัวจึงจะใช้เม็ดใหญ่

- ต้นหอม ต้นกระเทียม เลือกต้นที่มีใบสดเขียว ไม่เหลือง ต้นขนาดกลาง ต้นอวบๆ

- กระชาย เลือกรากสดอ้วนๆ ไม่เหี่ยว

- กะหล่ำปลีและผักกาดขาว ต้องเลือกที่สด แน่น หัวขนาดกลาง ซึ่งจะมีน้ำหนักมาก

- มะนาว เลือกสดๆ

- เผือก ใช้หัวขนาดกลาง ใช้เผือกหอมเนื้อจะละเอียด







13:08 | จัดทำบล็อก | งานอดิเรก

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การแกะสลักกลีบดอกต่าง

การแกะสลักก็เป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง ที่ถือเป็นมรดกล้ำค่าที่สืบทอดกันมายาว นาน เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความถนัด ความสามารถเฉพาะตัว และความละเอียดอ่อนมาก การแกะสลักจึงเป็นศิลปะที่ไม่ตายสามารถ นำความรู้ไปประกอบอาชีพได้


จาก Youtube.com

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปอกแอปเปิ้ลไม่ให้ดำ

           เคยสังเกตบ้างไหม เวลาปอกแอปเปิ้ล หรือสาลีทิ้งไว้ผิวของผลไม้ ประเภทนี้จะหมองคล้ำ ยิ่งเวลาผ่านไปความน่ารับประทานก็ยิ่งลดลงเรื่อย ๆ

Washing red apple

         เราสามารถป้องกันผิวของผลไม้ไม่ให้ดำได้ โดยละลายเกลือ ประมาณ 1 ช้อนชาลงในน้ำเปล่า 1 ชามแกงนำแอปเปิ้ลหรือสาลี่ที่ปอกเสร็จแล้วลงแช่ทิ้งไว้สักพัก เมื่อนำขึ้นมา จัดใส่จานผิวของผลไม้ก็จะไม่ดำคล้ำ

แสบร้อนที่มือเพราะพริกขี้หนู

           คุณเคยใช่ไหม เมื่อหั่น ซอย หรือว่าเด็ดพริกขี้หนู แล้วสิ่งที่ได้มากกว่าความเผ็ด ของอาหาร ก็คือความร้อนแสบไปทั่วบริเวณนิ้ว หรือมือที่สัมผัสกับพริกขี้หนู ที่ฤทธิ์ไม่พริกขี้หนูเอาเสียเลย
 
แก้ได้ไม่ยาก

           วิธีแรกท่านว่าให้นำเกลือแกง ก็เกลือเค็ม ๆ ที่เราใช้ปรุงอาหารนี่ล่ะ สักหนึ่งช้อนแกงลูบลงบนมือถูไปถูมา ความแสบร้อนก็จะคลายลง



           อีกวิธีนึงท่านว่าแทนที่จะใช้เกลือแกงให้ใช้ แป้ง จะแป้งเด็กทาตัว หรือแป้งหมี่ที่เราใช้ทำอาหารก็ได้ ลูบถูไปตรง บริเวณที่รู้สึกแสบร้อน สักครู่ก็จะรู้สึกดีขึ้น

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สาธิตการทำน้ำพริกเสวย

          ในเทศกาลหรือโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ หรือวันสถาปนาโรงเรียน รร.พธ.พธ.ทร.มักมีของฝากอย่างหนึ่งที่เมื่อใครๆ ได้รับไปแล้วก็มักจะติดใจ และล้วนถามถึงอีกเมื่อเทศกาลเวียนมาอีกครั้ง สิ่งนั้นก็คือกระเช้าน้ำพริกประเภทต่างๆ ที่ครูอาหารของ รร.พธ.ฯ ช่วยกันทำขึ้นมานั่นเอง

          ในบรรดาน้ำพริกที่ว่ามานั้น "น้ำพริกเสวย" ของ ครู พรทิพย์ ติ่งเพชรเติม ก็เป็นอีกตำรับหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความอร่อย และถูกบรรจุเป็นรายการหนึ่งในกระเช้าของฝากอย่างสม่ำเสมอ

          แต่ทว่า ปัจจุบัน ครูพรทิพย์ของเราท่านได้เกณียณอายุราชการไปเสียแล้ว คงเหลือแต่ความทรงจำดีๆ ที่ครูมีให้แก่พวกเราเสมอมา  แต่ก่อนที่ท่านจะจาก รร.พธ.ฯ ไปนั้น ท่านได้ฝากวีดีโอ การทำ "น้ำพริกตะไคร้" และ "น้ำพริกเสวย" เอาไว้ให้พวกเราเป็นที่ระลึก พวกเราจึงขอขอบพระคุณ คุณครูพรทิพย์มา ณ โอกาสนี้ด้วย และเพื่อเป็นการระลึกถึง รร.พธ.ฯ จึงขอนำวีดีโอการทำ "น้ำพริกเสวย" ที่คุณครูได้ทำไว้มาเผยแพร่ในบล็อกนี้ให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน 

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การปอกหอมโดยไม่แสบตา

           เวลาที่เราปอกหัวหอม ไม่ว่าจะเป็นหอมหัวเล็กหรือหัวหอมใหญ่ จะรู้สึกแสบตา และบางครั้งก็มีน้ำตาไหลออกมาด้วย



           วิธีแก้ คือ ต้มน้ำให้เดือด( ประมาณ 15 นาที ) ยกลงจากเตา จุ่มหัวหอมลงไปในน้ำร้อนแล้วรีบนำขึ้นไปแช่น้ำเย็นอีกครั้ง จะทำให้หัวหอมปอกเปลือกได้ง่าย ไม่แสบตา แล้วยังป้องกันการที่หัวหอมมีสีเขียวคล้ำ และมีกลิ่นเหม็นเมื่อทิ้งไว้นานได้อีกด้วย ปอกหอมครั้งต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียน้ำตาแล้ว

กลิ่นกระเทียมติดมือ




             กระเทียม เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาปรุงอาหาร โดยเฉพาะครัวไทย ต้องมีติดไว้ไม่ขาด เพราะไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด ก็นิยมนำมาปรุง มาเสริมให้กลิ่นหอมอร่อยยิ่งขึ้น อีกทั้งสรรพคุณทางยา ก็มากประโยชน์ กระทั่งเป็นที่ยอมรับ



แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งเมื่อสัมผัสแล้วต้องประสบนั่นคือ "กลิ่น" ติดมือยากจะลบเลือน





             ให้นำยาสีฟันมาบีบลงแปรงสีฟันเก่า ๆ จากนั้นถูเบา ๆ บริเวณที่สัมผัสกระเทียม ล้างด้วยน้ำสะอาด กลิ่นกระเทียมจึงหมดไป เหลือแต่กลิ่นหอมสดชื่นของยาสีฟัน

มะขามเปียก

            มะขามเปียก ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ถ้าใครเกิดท้องผูก หยิบมาจิ้มเกลือกินสักฝักสองฝักเป็นอันได้ผล แต่เรื่องของความสะอาด อันนี้ถือว่าสำคัญนัก ฉะนั้น ก่อนหยิบจับมะขามเปียกมากิน ดูให้แน่ใจว่ามีสิ่งสกปรก เชื้อราเกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้าให้ดีนำเข้าตู้ไมโครเวฟก่อน ถ้าเป็นไปได้ให้ซื้อมะขามเปรี้ยวซึ่งมีจำหน่ายเป็นฝัก ๆ มาแกะเปลือกไว้กินเองดีกว่า

            อีกปัญหาหนึ่งต้องประสบกับผู้ซึ่งนิยมกักตุนมะขามเปียกไว้ใช้ แต่แล้วผ่านไปไม่นาน สีของเนื้อมะขามที่เคยออกโทนน้ำตาล กลับกลายเป็นสีดำไม่น่ากินฉะนั้น หลังได้มะขามเปียกมา ให้บรรจุลงในภาชนะที่ไม่ใช่อะลูมิเนียม โรยเกลือแกงเม็ดใหญ่ ๆ บริเวณด้านบน ปิดฝาให้สนิท เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กินมะขามเปียกสีสันตามธรรมชาติตลอดไป

มะละกอสำหรับตำส้มตำ ทำอย่างไรให้กรอบอร่อยไม่นิ่มเละ



          แปลกจริงหนอเวลาลุกขึ้น มาตำส้มตำทานเองเจ้ามะละกอที่เราสับเองกับมือ มันกลับเส้นนิ่มเละตำแล้วทานไม่อร่อยเหมือนกับที่ซื้อจากเจ้าประจำ หน้าปากซอยมาทานเอาเสียเลย จะว่าสับเส้นเล็กก็ไม่ใช่จะว่าตำนานไปก็ไม่เชิง



          เทคนิคง่ายมาก คว้ามะนาวขึ้นมาเลย หนึ่งลูกหรือจะใช้เปลือกมะนาวที่บีบเอาน้ำเตรียมสำหรับปรุงรสส้มตำออกแล้วก็ได้ เอามะละกอที่สับเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ใส่ลงในอ่างใส่น้ำเปล่าลงพอท่วมเส้นมะละกอ ตามด้วยเปลือกมะนาว ถ้ากลัวเปลือกไม่พอ บีบน้ำมะนาวตามลงไปอีกหน่อย คลุกเบา ๆ ย้ำเบา ๆ นะ  เบา ๆ แช่ทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะนำเส้นมะละกอขึ้นมาสะเด็ดน้ำ แล้วนำไปตำส้มตำตามปรกติ แปลกมาก เส้นมะละกอจะกรอบอร่อยจนแทบไม่น่าเชื่อ

ดีดแล้วดม เคล็ดไม่ลับซื้อสับปะรด


          ถ้าใครที่นาน ๆ จะซื้อสับปะรดมาปอกรับประทานเองสักทีอาจจะมี ปัญหาว่าเลือกอย่างไรถึงจะได้สับปะรดเนื้อดี หวานฉ่ำดีดแล้วดมสิ ถ้าดีดแล้วเสียงดังแปะ ๆ ละก็ใช้ได้ ถ้าเป็นเสียงโป๊ก ๆ ละก็อย่าซื้อมาเชียว ถ้าจะซื้อแล้วปอกรับประทานวันนั้นเลยก็เลือกที่ดมแล้วมีกลิ่นหอมสับปะรดออกมา  ถ้าจะเก็บไว้ ทานวันหน้าก็เลือกที่หอมน้อยหน่อย  

ต้มไก่ไม่ให้หนังลอก

           ถ้าคุณเคยซื้อไก่ต้มที่เขาทำขายให้เรากิน อาจจะพบว่าบางรายต้มเสียจนหนังไก่ลอกเป็นดวง อันนี้ทำให้ไม่น่าซื้อกินเลย จริงๆ แล้ววิธีต้มไก่ไม่ให้หนังลอกนั้นมีอยู่  โดยทำได้ไม่ยากนัก แต่ต้องอาศัยความใจเย็น          



           โดยก่อนจะต้มให้ใส่เกลือลงในท้องไก่จากนั้นเติมน้ำให้ท่วม พอเริ่มเดือดค่อย ๆ เติมน้ำลงไป เพื่อลดอาการเดือดลง เพราะถ้าปล่อยให้เดือดพล่าน โอกาสหนังไก่ลอกมีสูง และอาจทำให้เนื้อด้านนอกสุกเร็วกว่าเนื้อด้านใน

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กลิ่นสาบเป็ดไม่ถูกกับน้ำมะนาว

       เมื่อซื้อเป็ดมาเตรียมไว้ปรุงอาหาร แต่รังเกียจกลิ่นเหม็นสาบของเป็ด



       น้ำมะนาวช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นสาบของเป็ดได้คือ

ควรใช้น้ำมะนาวปนกับเกลือป่นเล็กน้อย  ทาทั่วทั้งหนังเป็ด แล้วทิ้งไว้สักครู่ จึงใช้กระดาษซับมัน (กระดาษที่ใช้รองขนมเค้ก) เช็ดรอยคราบน้ำมะนาวออกให้หมด น้ำมะนาวจะช่วยขจัดกลิ่นเหม็นสาบของเป็ดได้

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีดูว่าไข่เน่าหรือไม่


เก็บไข่สดไว้นานเกินไป แถมยังเผลอเอาไปวางปนกับไข่ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ หากเราสงสัยว่าจะมีไข่เน่าปนอยู่ จะมีวิธีตรวจสอบอย่างไร จะตอกออกมาดูก็อาจเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ 
วันนี้มีวิธีดีๆ มาแนะนำ ในการดูไข่ว่าเป็นไข่สดหรือไข่เน่า

       วิธีก็คือ ให้เอาไข่ไปลอยน้ำ ไข่เสียหรือไข่เน่าจะลอยน้ำเสมอ ส่วนไข่ที่ยังดีอยู่จะจมน้ำ 
       ทีนี้ก็ไม่ต้องกลัวกลิ่นไข่เน่าอีกแล้ว

เคล็ดลับ การย่างปลา


เคยไหม เวลาย่างปลารับประทานเอง จากปลาตัวอ้วน ย่างเสร็จเหลือตัวนิดเดียว เพราะหนังหาย เนื้อหาย ติดตะแกรงย่างไปซะหมด มีเคล็ดลับวิธีย่างปลา ไม่ให้ติดตะแกรง มาฝาก


  • วิธีแรก เวลาย่าง ก่อนจะวางปลาลงย่าง บนตะแกรง ให้วางตะแกรงบนไฟ ให้ร้อนเสียก่อน แล้วค่อยวางปลาลงย่าง จะช่วยให้ปลาไม่ ติดตะแกรง 
  • อีกวิธีนึง ให้ใช้น้ำส้มสายชู ทาตะแกรงให้ทั่วก่อนเอาไปใช้ย่างปลา จะช่วยให้ปลาไม่ติดตะแกรง 
  • แถมให้อีกนิด เวลาย่างปลา ถ้าไม่อยากให้มีควันคลุ้ง ขณะย่างปลา ให้ใช้ถ่านที่คุไฟดีแล้ว และใช้เกลือโรย จะช่วยให้ไม่มีควันคลุ้ง

เจียวไข่ให้หนานุ่ม

ใครจะคิดว่าเรื่องง่าย ๆ อย่างการจะทำไข่เจียว ให้อร่อย ก็ต้องมีเทคนิค กับเขาเหมือนกัน
ถ้าคุณเคยไปทานเจอ ไข่เจียวที่เนื้อหนา แต่นุ่ม หอม อร่อย แต่เจียวทานเองไม่เคยได้อย่างเขาสักที ขอแนะนำ ให้ลองวิธีตามนี้



  • ริ่มแรก ไข่ไก่ที่ใช้ต้องสด จะทำไข่เจียวแบบหนา ๆ อาจต้องหาคนช่วยทานซักหน่อย เพราะเวลาเจียว ก็น่าจะต้องใช้ไข่อย่างน้อย 4-5 ฟองขึ้นไป
  • ตอกไข่ใส่ชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ และตีไข่ให้เข้ากัน 
  • ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ต้องใช้นำมันเยอะหน่อย กรอกน้ำมัน บนผิวกระทะเล็กน้อย 
  • รอจนน้ำมันร้อนจัด แล้วจึงเทไข่ทั้งหมดลงในกระทะ ด้วยปริมาณไข่ที่มาก จะสังเกตได้ว่า ไข่บริเวณขอบ และไข่ที่อยู่ด้านล่าง จะสุกก่อน ส่วนไข่ด้านบน จะยังเป็นน้ำไข่ดิบอยู่ 
  • รอสักครู่จนไข่ด้านล่าง เริ่มสุกพอประมาณ เองตะหลิวเจาะตรง กลางไข่ให้เป็นรอยบาก จากนั้นแซะไข่จากด้านล่างยกขึ้น ให้น้ำไข่ดิบ ไหลจากช่องตรงกลาง ลงมาสัมผัสผิวกระทะ อาจแยกแซะฝั่งซ้าย 1 ครั้ง ฝั่งขวา 1 ครั้ง 
  • รอครู่หนึ่งจนน้ำไข่ที่ไหลลงไปเริ่มสุก ถ้ายังมีน้ำไข่ค้างอยู่อีกให้ทำอีก แต่ถ้าไม่มีแล้วก็ให้กลับไข่ (อันนี้ต้องใช้ฝีมือนิดนึง ถ้าอยากให้ ไข่เจียวดูเป็นแผ่นกลม แต่ถ้ายากเกินความสามารถ ก็แบ่งไข่กลับด้านทีละครั้งก็ได้) 
  • ถ้าเริ่มมีควันขึ้น กระทะอาจร้อนจัดเกินไป ให้ลดไฟลงเล็กน้อย จะสังเกตได้ว่าไข่จะดูฟูขึ้น ๆ  พอสุกสีสวย ก็ตักขึ้นใส่จานเสริฟได้เลย 
ข้อมูลจาก Thaifooddb.com

ล้างเซ่งจี๊หมูให้ไม่เหม็น




        ให้ตัดมันบริเวณจุกด้านบนออกแล้วเอาจุกตรงนั้นกดให้ติดกับก๊อกน้ำ จากนั้นเปิดน้ำแรง ๆ ให้เกิดแรงดันน้ำเข้าไปในเซ่งจี๊สักครู่เซ่งจี๊จะขยายตัวออก ประมาณ 2-3 เท่าตัว จากนั้นจึงผ่าครึ่ง แล้วหั่นเป็นชิ้นโต ๆ แช่น้ำหลาย ๆ ครั้งเป็นอันใช้ได้

การล้างกระเพาะหมูไม่ให้มีกลิ่น



 
           กระเพาะหมูเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของหมูที่มีกลิ่นแรง ต้องล้างน้ำให้สะอาด 2-3 ครั้ง จากนั้นกลับเอาด้านในออกขยำด้วยเกลือให้ทั่วแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้งแล้วลงนาบในกระทะที่ร้อนจนทั่ว จึงจะนำไปต้มโดยใส่พริกไทยไว้ด้านในประมาณ 20 เม็ดผูกปมให้แน่น กระเพาะหมูก็จะอร่อยแบบปราศจากกลิ่น  

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำความสะอาดหอยแครง

          หอยแครงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด อาทิ ลวก,ย่าง,ยำ,แกงเผ็ด เป็นต้น แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งพบบ่อย ถือเป็นอุปสรรคต่อการบริโภค คือ เมื่อนำไปย่าง หรือ ลวกทั้งเปลือกเวลาแกะออกมามักจะพบดิน ซึ่งติดอยู่ด้านใน นั่นเพราะธรรมชาติของหอยแครงอาศัยอยู่ในดินเลนนั่นเอง




วิธีทำความสะอาด
          หลังจากซื้อแล้ว ให้ล้างทำความสะอาดเปลือกด้านนอก จากนั้นเทใส่ภาชนะ รินน้ำให้ท่วมตัวหอยแครง โขลกพริกขี้หนูสดพอแหลก 1 กำมือใส่ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ความเผ็ดจะทำให้หอยแครงคายดิน ออกมา จากนั้นล้างทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วนำไปประกอบอาหารได้ตามต้องการ


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมักเนื้อสัตว์ให้เปื่อย

 
               วิธีหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่นหมู เนื้อ ไก่ ให้เปื่อยอีกวิธีหนึ่งนอกจากการใช้ยางมะละกอ น้ำสับปะรด หรือผงโซดาไบคาร์บอเนตใส่หมักลงไปให้เนื้อเปื่อยแล้วนั่นคือ การหมักด้วยซีอิ๊ว น้ำมันพืช พริกไทยและ เหล้าอีกนิดหน่อยหมักประมาณ 2 ชั่วโมงเนื้อก็จะทั้งนุ่มทั้งเปื่อยดี

               หรือ เพื่อเพิ่มความนุ่ม หอม อร่อย เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว คอหมู หมูสามชั้นเนื้อ สามารถใช้สูตรการหมักดังนี้ (สำหรับปริมาณเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม) 
  • น้ำมันงา 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันสลัด 3 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่น 1 กรัม
  • งาขาว 1 กรัม
  • เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือนิดหน่อย
หมักทิ้งไว้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

เพิ่มเติมจาก Internet ที่มีผู้รวบรวมไว้

- หมักด้วยผงฟูที่ใช้ทำเค้ก จะได้หมูแบบหยุ่นๆ เหมือนราดหน้าหมู ลองไปอ่านกล่องผงฟูดูมันจะมีเบคกิ้งโซดาอยู่เป็นส่วนใหญ่ ใช้แทนกันคงได้ แต่คนที่กินด้วยนี่บอกว่าเวลาเอาไปย่างกับกะทะเป็นเสต็กแบบฝรั่ง มันไม่ค่อยเกรียมอย่างที่เค้าอยากกิน

- หมักด้วยน้ำมันพืช จะได้หมูแบบหมูปิ้งที่เค้าปิ้งขาย กินกับข้าวเหนียว แต่เหมือนกับว่าเค้าจะใส่แป้งมันลงไปด้วย ถ้าหาแป้งมันไม่ได้ ใช้แป้งข้าวโพดแทนได้ ถ้าเป็นหมูปิ้งที่ขาย เค้าจะหมักข้ามคืน แต่แบบนี้ต้องไม่กลัวอ้วน เพราะมันจะอ้วนได้ใจเลย

- หมักด้วยน้ำสับปะรด อันนี้คงได้หมูแบบเปื่อยๆ

- หมักด้วยไข่ขาว ถ้าที่บ้านใช้ไข่แดงทำขนมแล้วไข่ขาวเหลือนี่ น่าสนใจมาก คนที่เคยทำเค้าบอกว่าเค้าจะแล่หมูใส่ถุงซิปล็อคแล้วใส่ไข่ขาวลงไปคลุกๆให้เข้ากัน แล้วเอาเข้าตู้แข็งทั้งอย่างนั้น พอจะกินก็เอามาใช้ทีละถุง เค้าบอกว่านิ่มมากแต่ไม่ยุ่ย ถ้าจำไม่ผิดเค้าบอกว่าอัลบูมินในไข่ขาวมันจะไปทำปฏิกริยาอะไรซักอย่างกับไอ้ เจ้าที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อที่มันยึดเนื้อไว้ให้เนื้อเหนียวน่ะค่ะ (คลับคล้ายคลับคลานะคะ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน คนเขียนก็จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ) อันนี้ไม่เคยทำเหมือนกัน

- หมักด้วยหอมห้วใหญ่ อันนี้เคยเห็นในรายการทีวีของญี่ปุ่น เค้าจะสับหอมหัวใหญ่ให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปรวมกับเนื้อ ไม่รู้ว่าเค้าหมักนานแค่ไหนเหมือนกัน เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เค้าเอามาพิสูจน์ความนุ่มเทียบกับเนื้อที่ไม่ได้หมัก (สไตล์รายการญี่ปุ่นน่ะ ลองนึกภาพตาม) ในเนื้อมันจะนุ่มแบบชุ่มฉ่ำ

-ใช้ผงฟู แป้งข้าวโพด แล้วก็น้ำมัน ปนกันหมด หมักแค่ชั่วโมงเดียว เพราะไม่ค่อยคิดรายการอาหารข้ามวัน

อัน นี้เป็นส่วนเฉพาะที่ทำให้เนื้อมันนุ่ม ส่วนจะหมักด้วยซอส หรือเครื่องปรุงรสอะไรก็แล้วแต่ว่าจะเอาไปทำอาหารอะไร

การทอดเบคอนไม่ให้งอ

             เบคอนที่เรามักจะเห็นขายอยู่ตามซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆมีหลายยี่ห้อ ควรเลือกซื้อเฉพาะที่ยังใหม่สดโดยสังเกตุเนื้อจะมีสีชมพูอ่อนๆส่วนมันจะมีสีขาว เมื่อนำมาทอดแผ่นเบคอนมักจะบิดงอแลดูไม่สวยงามและทำให้การจัดอาหารในจานทำได้ไม่สวยนัก

Bacon

            วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีคือนำเบคอนมาจุ่มด้วยนมสดให้ทั่วทั้งแผ่นก่อนแล้วจึงนำลงทอดในกระทะที่ใช้ไฟปานกลาง ทอดจนเบคอนมีสีเหลืองและกรอบเบคอนก็จะยังไม่บิดงอ  

การทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน

     ปกติในการทอดอาหารมักจะอมน้ำมันทำให้เกิดการสิ้นเปลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทแป้งจะเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การทอดปาท่องโก๋ การทอดโดนัท เป็นต้น หากเราใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อยผสมลงในน้ำมันจะช่วยให้ไม่อมน้ำมัน ทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้นเพราะรับประทานแล้วไม่เลี่ยนและยังทำให้ร่างกายไม่ได้รับไขมันมากเกินไป



     ต่อไปนี้เป็นความเห็นและเทคนิคของบุคคลต่างๆ ที่รวบรวมมาจาก Internet ใครชอบแบบไหน ทดลองทำแล้ว ได้ผลเป็นประการใด ท่านสามารถมาร่วมแบ่งปันความรู้โดยแจ้งหรือให้ข้อคิดเห็นได้ในบล็อกนี้
  • ใช้น้ำมันปาล์มแล้วอาหารจะกรอบอร่อยจริง แต่ในน้ำมันปาล์ม มีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง จึงไม่ดีกับสุขภาพเท่าไหร่นัก ส่วนน้ำมันเมล็ดฝ้าย เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำกว่าน้ำมันปาล์ม และมีจุดเดือดสูง ทำให้เหมาะกับการทอดแบบ Deep Fried ทำให้อาหารกรอบนาน และที่สำคัญ น้ำมันเมล็ดฝ้ายมีคุณสมบัติคือ ช่วยให้อาหารทอดเก็บได้นาน ไม่เหม็นหืนง่าย สำหรับน้ำมันถั่วเหลือง ไม่เหมาะสำหรับทอด เพราะมีจุดเดือดไม่สูงมาก หากอยู่ในความร้อนนาน ๆ จะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

  •  ของทอดนำมันร้อนจริงๆถึงจะลงทอดได้ แต่ต้องไม่ปล่อยจนมีควัน ถ้ากลัวน้ำมันกระเด็นใส่เกลือลงไปนิดนึง ตักขึ้น ต้องมีตะแกรงรองรับน้ำมัน น้ำมันหยดออกหมดแล้วถึงจะจัดลงจานถ้ายังไม่แน่ใจให้ใช้กระดาษซับน้ำมันรองจานพัก แล้วค่อยจัดใส่จานเมื่อถึงเวลาเสิร์ฟ

  • หลังจากการทอดแล้ว มักจะมีการอบด้วยเตาอบ ที่อุณหภูมิต่ำ ที่ 60 -80 องศาc สัก 5-10นาที จะเป็นการไล่น้ำมันที่มีการตกค้างจากการอมน้ำมัน วิธีการนี้ ใช้ในการทำให้ทุเรียนทอด กล้วยทอด มันทอด และขนุนทอด คงสภาพความกอบได้ดีทีเดียว

  • ต้องทอดในอุณหภูมิที่เหมาะสม อะไรที่ทอดนานไฟอ่อนจะอมน้ำมัน ต้องตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทอดไฟแรง จะลดการอมน้ำมันไปได้มากครับ เมื่อเอาออกจากกระทะแล้วให้เอาวางลงบนกระดาษซับน้ำมันหาซื้อได้ตามห้างทั่ว ไปครับ ต้องทิ้งไว้อย่างน้อยสิบนาที จึงนำไปรัปประทานครับ จะให้ดีขึ้นอีกคือให้ทอดไฟปานกลางสักสามนาที เอาออกวางบนกระดาษทิ้งไว้ห้านาทีแล้วเอาลงไปทอดใหม่ให้ไฟแรงหนึ่งนาที แล้วเอาออกวางบนกระดาษทิ้งไว้สิบนาที จึงค่อยเอาไปรับประทาน

  • ขอตอบเรื่องปลาทอดก่อนเลย ปริมาณน้ำมันต้องเกือบๆท่วมตัวปลา ควรเลือกภาชนะทรงสูง เช่นหม้อ แ่ต่ต้องให้เหมาะสมกับตัวปลา เพื่อเป็นการประหยัดน้ำมัน พอน้ำมันร้อนจัด แต่ไม่ไหม้ สังเกตุได้จากการเคลื่อนที่ของน้ำมัน ใ่ส่ปลาลงไป สักหนึ่ง ถึงสองนาที ลดไฟลง ทอดไฟปากลางต่อไปจนเหลืองแล้วเร่งไฟแรงเพื่อไล่น้ำมันออกจากเนื้อปลา ทำทีล่ะด้านเหมือนกันจนเหลืองกรอบ พักปลาบนตะแกรงจนสะเด็ดน้ำมันจริงๆ เท่านี้ก็อร่อยแล้ว อีกอย่างถ้าปลาทาเกลือทอด จะดีกว่าไม่ติดหม้อหรือกระทะด้วย 

  • น้ำมันที่ทอดต้องเป็นน้ำมันปาล์ม คือน้ำมันปาล์มต้องร้อน ร้อนหรือไม่ก็ให้ลองใส่อะไรลงไป เช่น แป้งทอดเป็นต้น แต่วิธีทอดเมื่อใส่ลงกะทะแล้ว สำคัญสุดๆ ห้ามพลิกไปพลิกมาเป็นอันขาด จะอมน้ำมันก็ตอนนี้ ให้สุกเหลืองก่อนแล้วจึงพลิกกลับมาทอดอีกด้าน อันนี้ทอดแบบประหยัดน้ำมันนะ หากไม่กลัวเปลือง ก็ใส่น้ำมันให้เยอะชนิดที่ใส่อะไรลงไปจนมิดเลย แต่ห้ามพลิกเล่นนะ และอย่านำน้ำมันมาทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งเพราะจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง

  • การทอดที่ไม่ให้อมน้ำมันมีวิธีการทำคล้่ายๆกันเพียงแต่เทคนิกการทำอาหารบางชนิดอาจแตกต่างกันไปอย่างเช่นการทอดปลาควรเท่น้ำมันให้ท่วมตัวปลาโดยต้องรอ ให้ร้อนจึงใส่ปลาลงไปพอกับการทอดหมูพอเหลืองค่อยพลิกอีกด้่านส่วนปอเปี๊ยะ ส่วนประกอบทุกอย่างเมื่อล้างหรือเอามาปรุงไส้ต้องให้ความชื้นแห้งพอสมควร ค่อยห่อแป้งแล้วลงทอดโดยใช้ไฟร้อนพอสมควรที่สำคัญแป้งต้องไม่เปียกจนเกินไป

  • ถ้าจะทอด ผัก หรือ กล้วยทอด ให้ใส่น้ำมันพืช ลงในแป้ง 1 ช้อนโต๊ะ เพราะน้ำมันพืชในแป้งที่ชุปทอด จะไล่น้ำมันที่อยู่ภายนอกไม่ให้เข้ามาฝังตัว และกรอบด้วย

  • ทอดด้วยไฟแรงปานกลาง แล้วน้ำมันต้องร้อนจัดก่อนนำของลงทอด จะทำให้ไม่อมน้ำมัน ถ้าทอดหมูหรือไก่ ควรคลุกแป้งกรอบเล็กน้อยโดยโรยแป้งแล้วคลุกแบบแห้งๆ จะทำให้อาหารเหลืองกรอบนานด้วยค่ะ ถ้าทอดปลาให้ทำให้ปลาหมาดๆแล้วโรยเกลือที่ตัวปลาเล็กน้อยให้ทั่วทำให้ไม่ ติดกระทะด้วย
     ใครชอบแบบไหน ทดลองทำแล้ว ได้ผลเป็นประการใด ท่านสามารถมาร่วมแบ่งปันความรู้โดยแจ้งหรือให้ข้อคิดเห็นได้ในบล็อกนี้

    เก็บใบแมงลัก ใบโหระพา ไว้ใช้ได้หลายๆวัน

                       ใบผักอย่างใบแมงลักหรือใบโหระพา เป็นผักที่ช้ำและเน่าเสียได้ง่าย ถ้าบังเอิญคุณซื้อมามากจนเกินไปแล้วอยากจะเก็บไว้ให้ใช้ได้หลาย ๆ วัน ให้เด็ดใบออกจากก้าน ผึ่งไว้พอแห้ง (ไม่ต้องล้างน้ำ แต่ก็อย่าเผลอผึ่งไว้ซะจนแห้งกรอบ) นำใบที่เด็ดแล้วใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น ให้มีลมอยู่ในถุงบ้าง จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา ก็จะเก็บไว้ใช้ได้หลายวัน

                      โหระพา เป็นผักที่ใช้บริโภคเป็นผักสดหรือใช้ประกอบอาหารอื่นๆ ก็ได้ ทำให้อาหารมีรสชาติและกลิ่นหอมน่ารับประทานยิ่งขึ้น ใช้ใบปรุงอาหารเป็นผักชูรสได้หลายชนิด เช่น แกงเผ็ด แกงเลียง ผัด ทอด รับประทานสด เป็นเครื่องแนมอาหารคาวหรืออาหารว่างได้เป็นอย่างดี
    นอกจากจะใช้เป็นอาหารแล้วยังมีคุณค่าทางยาช่วยขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เมล็ดเมื่อแช่น้ำจะพองตัวใช้รับประทานแก้บิด ช่วยหล่อลื่นลำไส้


                       แมงลัก เป็นผักสวนครัว ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่รู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสด ๆ คู่กับขนมจีนน้ำยา เป็นต้น ประโยชน์ของ ใบแมงลัก คือ ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือ โรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย
                      ส่วนเม็ดแมงลักก็มีสรรพคุณ คือ มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย
     

    10 เครื่องเทศแห้งยอดนิยมในเมืองไทย

             จุดเด่นของอาหารไทยประการหนึ่งก็คือ มีการใช้เครื่องเทศอยู่หลายชนิด ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาดของอาหารแล้ว บางชนิดยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย    ต่อไปนี้คือเครื่องเทศที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารไทย ซึ่งได้รวบรวมมาจากเว็บไซต์ ToptenThailand.com

    (กรุณาเลื่อน Scroll Bar เพื่ออ่าน)


    ข้อมูลจาก : www.toptenthailand.com

    การคั่วพริกไม่ให้มีกลิ่นฉุน

         หลายๆคนอาจเคยคั่วพริกแห้งไว้กินเองที่บ้าน เพราะว่าสะอาด สด ใหม่ กว่า การนำพริกแห้งมาใช้ทำให้เราได้อาหารที่มีรสและกลิ่นที่ชวนรับประทานมากขึ้น แต่การคั่วพริกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครัวที่มีการระบายอากาศไม่ดีพอกลิ่นฉุนที่ออกมาจากกการคั่วทำให้มีอาการแสบตาและมีกลิ่นฉุนที่รุนแรงพอสมควร วันนี้มีเคล็ดลับในการคั่วพริกไม่ให้มีกลิ่นฉุนมาฝาก  


         วิธีลดกลิ่นฉุนดังกล่าว ทำได้โดยการใส่เกลือป่นลงไปในกระทะเล็กน้อย  เท่านี้กลิ่นฉุนก็จะบรรเทาไปมาก

         หรืออีกวิีธีหนึ่ง เพียงแค่ทาน้ำมันพืชลงในกระทะที่จะคั่วให้ทั่ว จากนั้นนำพริกไปคั่วไฟอ่อนๆ  เพียงเท่านี้ ก็จะได้พริกแห้งคั่วที่น่ากิน แถมไม่ส่งกลิ่นรบกวนทั้งตัวเองและผู้อื่นด้วย

    การเผามะเขือให้อร่อย

    ภาพจาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sweetheart-bakery&month=05-2008&date=23&group=1&gblog=12

        มะเขือยาวเวลาจะเอาไปทำอาหารบางประเภท ต้องเอาไปเผาก่อน แต่ถ้าเผาไม่เป็นก็จะได้ มะเขือเผาเนื้อแข็ง ทานไม่อร่อย ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเรากลัวมะเขือจะไหม้ เลยใช้ไฟอ่อน กลับกลายเป็นว่าต้องใช้าเวลาเผานาน เนื้อมะเขือที่ปอกแล้วเลยมีสีน้ำตาล แข็ง ไม่น่าทาน วิธีเผามะเขือยาวที่ถูกต้องให้ใช้ไฟแรงค่ะ กลับไปมาจนสุกทั่ว จากนั้นเอาไปจุ่มน้ำเย็นสักครู่หนึ่ง เมื่อลอกเปลือกออก เนื้อมะเขือข้างในจะยังนุ่มและมีสีเขียวสวย น่าทาน

    การต้มผัก

    การต้มผักใบ

          ให้ตัดผักออกเป็นก้านๆล้างให้สะอาด นำหม้อขึ้นตั้งไฟใช้ไฟแรงใส่น้ำน้อย ใส่น้ำมัน 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา เวลาต้มให้ใส่ก้านลงก่อนแล้วจึงค่อยๆใสลงไปทั้งต้น เมื่อผักสุกให้นำขึ้นและจุ่มน้ำเย็นทันที ผักจะเขียวเท่าๆกันทั้งต้น

    การต้มผักประเภทหัว

         ควรต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงใส่ผักที่ล้างสะอาดแล้วลงไปประมาณ 20 นาที เมื่อนำขึ้นก็ให้แช่ในน้ำเย็นทันทีจะทำให้ปอกเปลือกง่าย ควรต้มทั้งเปลือกเพื่อไม่ให้สูญเสียความหวานของผัก



    ภาพจาก : http://www.bloggang.com/data/tanja-nl/picture/1245850715.jpg

         ในการต้มผัก หากเหยาะน้ำมันพืชเล็กน้อยจะทำให้ผักมีผิวมันน่ากินยิ่งขึ้น ส่วนผักสีขาว เช่นกะหล่ำปลี และหัวไชเท้า ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย

         อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักบางชนิด ได้แก่ บล็อคโคลี่ กะหล่ำดอก และกะหล่ำปมนั้น จะทำลายสารที่เป็นคุณกับการต่อต้านโรคมะเร็งลงไปมากถึง 75% โดยในผักประเภทนี้จะมีสารสำคัญชนิดหนึ่งคือ สารกลูโคซิโนเลต ซึ่งมีศักยภาพในการต้านมะเร็งที่สำคัญ โดยจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ การต้มผักนานๆจะทำให้สารตัวนี้หายไป      
           สำหรับวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผักยังคงคุณค่า นอกจากการกินสดๆแล้วนั้น ก็คือการนึ่ง โดยไม่ควรนึ่งนานเกิน 20 นาที ก็จะช่วยรักษาคุณค่าของผักในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80%

    วิธีต้มน้ำซุป

       การทำแกงจืดเพื่อให้รสดี และเพิ่มคุณค่าของอาหารมากขึ้น จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ จะต้องทำจากน้ำซุป ( น้ำ ต้มกระดูก ) ซึ่งทำจากกระดูกสดของเป็ด ไก่ หมู วัว และปลา ต้มกับเกลือและผักต่างๆ เช่น หัวผักกาด ต้นขึ้นฉ่าย ต้น หอม ผักชี หอมฝรั่ง กระหล่ำปลี หรือเศษผักที่เหลือจากประกอบอาหาร 

    หลักของการต้มซุป
    1. ใช้หม้อใบใหญ่และมีฝาปิด ควรใช้หม้อที่มีหูจับได้สะดวกต่อการยกขึ้นอุ่นบนเตา
    2. เครื่องประกอบที่จะต้มน้ำซุปนี้ต้องให้สด กระดูกสับชิ้นใหญ่ประมาณ 4 นิ้ว เนื้อหั่นชิ้นเล็กๆ ตัดส่วนมันออกให้หมด ผักหัว ปอกเปลือกแล้วหั่น ส่วนผักชนิดอื่นตัดเป็นท่อน ๆ
    3. แช่ในน้ำประมาณ 2 ชม. เพื่อให้น้ำหวานในกระดูกออก ใช้ไฟกลาง จนกว่าจะเดือด ใช้ทัพพี ช้อนฟองทิ้งเคี่ยวไฟ อ่อนๆต่อไป เมื่อน้ำซุปจวนจะได้ที่แล้ว ใส่ผัก และเคี่ยวต่อไป
    4. กรองน้ำซุปด้วนตะแกรง และใช้ผ้าขาวบางวางใต้ตะแกรงอีกชั้นหนึ่ง ส่วนไขมันที่ลอยหน้ายังไม่ต้องช้อนทิ้งจนกว่า จะใช้ เพราะไขมันนี้จะช่วยไม่ให้อากาศเข้าไปในน้ำซุป ซึ่งจะทำให้เสียง่าย น้ำซุปที่ดีต้องใส ควรทำล่วงหน้าก่อนที่จะ ใช้หนึ่งวัน ไม่ควรเก็บไว้นานวัน เฉพาะอย่างยิ่งในที่ๆมีอากาศร้อน

    การต้มน้ำซุปมีหลายวิธี ด้วยกัน

    1. กระดูกเนื้อวัว สับแล้ว และเศษเนื้อตัดมันออกให้หมด หั่นเนื้อเล็ก ๆ 1/2กิโลกรัม น้ำ 8-10 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา แช่ ไว้ประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้น้ำหวานในกระดูกออก แล้วตั้งบนไฟกลางอ่อนๆ พอเดือด ช้อนฟองทิ้ง ปิดฝาหม้อเคี่ยว ต่อไปจนกว่าน้ำงวดลงครึ่งหนึ่ง ใส่ผักที่ต้องการแล้วเคี่ยวต่อไป จนเหลือน้ำซุปตามต้องการ น้ำซุปชนิดนี้จะออกเป็นสี น้ำตาล ( ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง )
    2. กระดูกไก่ - เป็ด - หมู สับแล้ว พร้อมทั้งเศษเนื้อของไก่ - เป็ด รวมกัน 1/2กิโลกรัม น้ำ 6-8 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา แช่ ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ตั้งไฟกลางอ่อนๆ พอเดือดช้อนฟองทิ้ง พอน้ำลดลงครึ่งหนึ่งใส่ผักต่างๆ และเพิ่มหอมใหญ่ พริก ไทยด้วย น้ำซุปชนิดนี้จะออกเป็นสีขาว ( ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง )
    3. กระดูกปลาเนื้อขาว1/2กิโลกรัม ล้างด้วยน้ำเกลือ ต้มน้ำ 5 ถ้วย ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ให้เดือด ใส่กระดูกปลาลงต้ม 20 นาที ช้อนฟองทิ้ง ใส่หอมใหญ่ ต้นขึ้นฉ่าย ต้มต่อไปอีก 10 นาที ใช้ได้ ซุปปลานี้ต้มแล้วต้องใช้ทันที
    4. ผักหลายๆชนิดเช่น หัวผักกาดขาว-เหลือง ต้นหอม ผักชี ขึ้นฉ่าย กระหล่ำปลี ฯลฯ รวมกัน 2 กิโลกรัม ล้าง ปอก หั่น ตามลักษณะของผัก ผักชีใช้ทั้งต้น ไม่ต้องตัดรากออก กระเทียม สับ 1 ช้อนชา เจียวในน้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ พอหอมใส่ผัก ทุกอย่างลงผัด ตักใส่หม้อ ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ใส่น้ำ 6-8 ถ้วย พริกไทย 8-10 เม็ด เคี่ยวไฟกลางอ่อนๆ ปิดฝาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

    ข้อแนะนำ
    การต้มน้ำซุป จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่เกลือพร้อมทั้งน้ำและกระดูก โดยวิธีนี้จะทำให้น้ำซุปใส เวลาต้มไม่ต้องคน ถ้าคน บ่อยแล้วจะทำให้น้ำซุปขุ่น

    วิธีแก้น้ำซุปขุ่นให้ใส
    ล้างเปลือกไข่ให้สะอาดพร้อมทั้งไข่ขาวดิบ 1 ฟอง ผสมให้เข้ากัน ยกหม้อน้ำซุปลงจากเตา ใส่เปลือกไข่และไข่ขาว คนให้ กระจาย ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดสักครู่ ฟองจะขึ้น จึงช้อนฟองทิ้ง น้ำซุปจะใส 

    ข้อมูลจาก : Horapa.com

    วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    วิธีทำมะระไม่ให้ขม

          ในการทำมะระไม่ให้ขมคงทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายๆ คือ

     
              - ถ้าเป็นอาหารประเภทต้ม ตุ๋น ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารให้หั่นมะระควักไส้ออกให้เรียบร้อยก่อน นำไปต้มกับน้ำ ซึ่งใส่เกลือลงไปประมาณ 2 ช้อนชา เมื่อต้มจนเดือดได้สักครู่นำน้ำทิ้ง ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถทำตามขั้นตอนข้างบนได้อีก จากนั้นนำมะระลงแช่ในน้ำเย็นและใส่ไส้แล้วจึงนำไปต้มจริงอีกครั้ง



              - ถ้าเป็นมะระผัดไข่ให้ซอยมะระเป็นชิ้นบาง ๆ สำหรับผัดก่อน แล้วนำไปคลุกกับเกลือขยำ ๆ แล้วทิ้งไว้สักครู่นึง แล้วล้างน้ำออกนำไปผัด


              - สำหรับมะระที่ใช้เป้นผักแกล้มขนมจีนนั้น ให้หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ สำหรับทาน แล้วนำไปแช่ในน้ำเกลือสักพัก ค่อยยกออกล้างน้ำอีกทีนึง เป็นใช้ได้



    ข้อมูลจาก Eazydo.com

    การต้มข้าวโพด

                   สำหรับคุณๆ ที่ชอบกินข้าวโพดยิ่งได้เห็นฝักสดๆ เมล็ดเต่งตึง อดจะซื้อหามาปรุงแต่ง โดยเฉพาะกับเมนูอาหารหวาน อย่างเช่นตะโก้ ข้าวโพดอบเนย หรือคลุกน้ำตาลทราย แล้วโรยด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดขาว แต่กับเมนูที่มองเหมือนง่าย ๆ อย่างข้าวโพดต้ม ซึ่งคุณแม่บ้านบ่นแล้วบ่นอีก ว่าทำอย่างไรเมล็ดก็ไม่เต่งตึง หอมหวาน น่ากินดังหวัง
     
                   เรามีเคล็ดลับ : สูตรการต้มข้าวโพดให้ทั้งหวาน ทั้งหอม แถมเมล็ดยังเต่งตึงมาฝากค่ะ เพียงคุณใส่ข้าวโพดลงในภาชนะ รินน้ำสะอาด แล้ว เติมนมสด กะให้ท่วมฝักข้าวโพด ต้มต่อกระทั่งเดือดและสุก ตักขึ้นพักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ

     
                   เพียงเท่านี้ ข้าวโพดก็จะออกมาหน้าตาน่ากิน แถมหวาน มัน อร่อยแบบถึงรสถึงชาด


    ประโยชน์ของข้าวโพด

                   นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าว โพด หวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด
                   เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสีย คุณค่าทางอาหารลงไป สู้ กินดิบๆไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้แม้ว่าจะเสียวิตามิน ซีไป

                    เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาทีพบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

                    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆอย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้ว

                   
    คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่ เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก

    พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนักแต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าว โพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่าง อื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

    ข้าวกล้องหุงอย่างไรให้นุ่ม

                     ข้าวกล้องเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เนื่องจากเป็นข้าวที่ผ่านการกระเทาะเปลือกออกเพียงครั้งเดียว ทำให้จมูกข้าวและรำข้าวซึ่งเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยวิตามินยังติดอยู่ ข้าวกล้องนั้นจะมีสีน้ำตาลส่วนความเข้มอ่อนนั้นจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ข้าว พื้นที่ ที่ใช้ในการปลูก และกระบวนการผลิต  สาเหตุที่ข้าวกล้องยังได้รับความนิยมไม่มาก เท่าที่ควรนั้นเนื่องมาจาก เวลาที่ข้าวกล้องสุกแล้วจะมีความแข็งมากกว่าข้าวขาว

                 
                     เพื่อให้ข้าวกล้องมีความนิ่ม มากขึ้นจะต้องตวงข้าวกล้องใส่หม้อ แช่น้ำไว้ประมาณ 30 นาที และอัตราส่วนในการหุงนั้นต้องใช้ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน แช่น้ำทิ้งไว้อีกประมาณ 30 นาที จึงจะนำไปหุงได้ หรืออาจใช้วิธีใส่ข้าวขาวขัดผสมลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 4 ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้ข้าวกล้องนุ่มน่ากินมากขึ้น

    นึ่งข้าวมันให้สวย



                   
                ข้าวมันสามารถทำได้ทั้งการหุงและการนึ่ง หากใช้วิธีการนึ่งต้องคนให้กระทิผสมกับข้าวเพื่อไม่ให้กระทิลอยหน้าและไม่แตกมันและคนอีกครั้งเมื่อข้าวใกล้จะสุก ข้าวมันที่ได้จะเป็นเม็ดเงาดูน่ารับประทาน

    นึ่งข้าวเหนียวให้สวย


                 
                ข้าวเหนียวอาหารหลักของชาวอีสานและอาหารโปรดของหลายๆคน รับประทานกับส้มตำ ไก่ย่าง อร่อยอย่าบอกใครเชียว ในการนึ่งข้าวเหนียวให้สวยคือเมื่อนึ่งเสร็จแล้วจะเป็นเงาดูสวยน่ารับประทานมีวิธีง่ายๆโดยการนำข้าวเหนียวไปแช่น้ำแกว่งด้วยสารส้มประมาณ 5 นาที ซาวน้ำออก 2-3 ครั้ง จากนั้นแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนจึงนำไปนึ่งในน้ำเดีอด ไฟแรงจนสุก ข้าวเหนียวที่ได้ก็จะเงาดูสวยน่ารับประทาน