วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีดูว่าไข่เน่าหรือไม่


เก็บไข่สดไว้นานเกินไป แถมยังเผลอเอาไปวางปนกับไข่ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ หากเราสงสัยว่าจะมีไข่เน่าปนอยู่ จะมีวิธีตรวจสอบอย่างไร จะตอกออกมาดูก็อาจเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ 
วันนี้มีวิธีดีๆ มาแนะนำ ในการดูไข่ว่าเป็นไข่สดหรือไข่เน่า

       วิธีก็คือ ให้เอาไข่ไปลอยน้ำ ไข่เสียหรือไข่เน่าจะลอยน้ำเสมอ ส่วนไข่ที่ยังดีอยู่จะจมน้ำ 
       ทีนี้ก็ไม่ต้องกลัวกลิ่นไข่เน่าอีกแล้ว

เคล็ดลับ การย่างปลา


เคยไหม เวลาย่างปลารับประทานเอง จากปลาตัวอ้วน ย่างเสร็จเหลือตัวนิดเดียว เพราะหนังหาย เนื้อหาย ติดตะแกรงย่างไปซะหมด มีเคล็ดลับวิธีย่างปลา ไม่ให้ติดตะแกรง มาฝาก


  • วิธีแรก เวลาย่าง ก่อนจะวางปลาลงย่าง บนตะแกรง ให้วางตะแกรงบนไฟ ให้ร้อนเสียก่อน แล้วค่อยวางปลาลงย่าง จะช่วยให้ปลาไม่ ติดตะแกรง 
  • อีกวิธีนึง ให้ใช้น้ำส้มสายชู ทาตะแกรงให้ทั่วก่อนเอาไปใช้ย่างปลา จะช่วยให้ปลาไม่ติดตะแกรง 
  • แถมให้อีกนิด เวลาย่างปลา ถ้าไม่อยากให้มีควันคลุ้ง ขณะย่างปลา ให้ใช้ถ่านที่คุไฟดีแล้ว และใช้เกลือโรย จะช่วยให้ไม่มีควันคลุ้ง

เจียวไข่ให้หนานุ่ม

ใครจะคิดว่าเรื่องง่าย ๆ อย่างการจะทำไข่เจียว ให้อร่อย ก็ต้องมีเทคนิค กับเขาเหมือนกัน
ถ้าคุณเคยไปทานเจอ ไข่เจียวที่เนื้อหนา แต่นุ่ม หอม อร่อย แต่เจียวทานเองไม่เคยได้อย่างเขาสักที ขอแนะนำ ให้ลองวิธีตามนี้



  • ริ่มแรก ไข่ไก่ที่ใช้ต้องสด จะทำไข่เจียวแบบหนา ๆ อาจต้องหาคนช่วยทานซักหน่อย เพราะเวลาเจียว ก็น่าจะต้องใช้ไข่อย่างน้อย 4-5 ฟองขึ้นไป
  • ตอกไข่ใส่ชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ และตีไข่ให้เข้ากัน 
  • ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ต้องใช้นำมันเยอะหน่อย กรอกน้ำมัน บนผิวกระทะเล็กน้อย 
  • รอจนน้ำมันร้อนจัด แล้วจึงเทไข่ทั้งหมดลงในกระทะ ด้วยปริมาณไข่ที่มาก จะสังเกตได้ว่า ไข่บริเวณขอบ และไข่ที่อยู่ด้านล่าง จะสุกก่อน ส่วนไข่ด้านบน จะยังเป็นน้ำไข่ดิบอยู่ 
  • รอสักครู่จนไข่ด้านล่าง เริ่มสุกพอประมาณ เองตะหลิวเจาะตรง กลางไข่ให้เป็นรอยบาก จากนั้นแซะไข่จากด้านล่างยกขึ้น ให้น้ำไข่ดิบ ไหลจากช่องตรงกลาง ลงมาสัมผัสผิวกระทะ อาจแยกแซะฝั่งซ้าย 1 ครั้ง ฝั่งขวา 1 ครั้ง 
  • รอครู่หนึ่งจนน้ำไข่ที่ไหลลงไปเริ่มสุก ถ้ายังมีน้ำไข่ค้างอยู่อีกให้ทำอีก แต่ถ้าไม่มีแล้วก็ให้กลับไข่ (อันนี้ต้องใช้ฝีมือนิดนึง ถ้าอยากให้ ไข่เจียวดูเป็นแผ่นกลม แต่ถ้ายากเกินความสามารถ ก็แบ่งไข่กลับด้านทีละครั้งก็ได้) 
  • ถ้าเริ่มมีควันขึ้น กระทะอาจร้อนจัดเกินไป ให้ลดไฟลงเล็กน้อย จะสังเกตได้ว่าไข่จะดูฟูขึ้น ๆ  พอสุกสีสวย ก็ตักขึ้นใส่จานเสริฟได้เลย 
ข้อมูลจาก Thaifooddb.com

ล้างเซ่งจี๊หมูให้ไม่เหม็น




        ให้ตัดมันบริเวณจุกด้านบนออกแล้วเอาจุกตรงนั้นกดให้ติดกับก๊อกน้ำ จากนั้นเปิดน้ำแรง ๆ ให้เกิดแรงดันน้ำเข้าไปในเซ่งจี๊สักครู่เซ่งจี๊จะขยายตัวออก ประมาณ 2-3 เท่าตัว จากนั้นจึงผ่าครึ่ง แล้วหั่นเป็นชิ้นโต ๆ แช่น้ำหลาย ๆ ครั้งเป็นอันใช้ได้

การล้างกระเพาะหมูไม่ให้มีกลิ่น



 
           กระเพาะหมูเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของหมูที่มีกลิ่นแรง ต้องล้างน้ำให้สะอาด 2-3 ครั้ง จากนั้นกลับเอาด้านในออกขยำด้วยเกลือให้ทั่วแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้งแล้วลงนาบในกระทะที่ร้อนจนทั่ว จึงจะนำไปต้มโดยใส่พริกไทยไว้ด้านในประมาณ 20 เม็ดผูกปมให้แน่น กระเพาะหมูก็จะอร่อยแบบปราศจากกลิ่น  

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำความสะอาดหอยแครง

          หอยแครงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด อาทิ ลวก,ย่าง,ยำ,แกงเผ็ด เป็นต้น แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งพบบ่อย ถือเป็นอุปสรรคต่อการบริโภค คือ เมื่อนำไปย่าง หรือ ลวกทั้งเปลือกเวลาแกะออกมามักจะพบดิน ซึ่งติดอยู่ด้านใน นั่นเพราะธรรมชาติของหอยแครงอาศัยอยู่ในดินเลนนั่นเอง




วิธีทำความสะอาด
          หลังจากซื้อแล้ว ให้ล้างทำความสะอาดเปลือกด้านนอก จากนั้นเทใส่ภาชนะ รินน้ำให้ท่วมตัวหอยแครง โขลกพริกขี้หนูสดพอแหลก 1 กำมือใส่ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ความเผ็ดจะทำให้หอยแครงคายดิน ออกมา จากนั้นล้างทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วนำไปประกอบอาหารได้ตามต้องการ


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมักเนื้อสัตว์ให้เปื่อย

 
               วิธีหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่นหมู เนื้อ ไก่ ให้เปื่อยอีกวิธีหนึ่งนอกจากการใช้ยางมะละกอ น้ำสับปะรด หรือผงโซดาไบคาร์บอเนตใส่หมักลงไปให้เนื้อเปื่อยแล้วนั่นคือ การหมักด้วยซีอิ๊ว น้ำมันพืช พริกไทยและ เหล้าอีกนิดหน่อยหมักประมาณ 2 ชั่วโมงเนื้อก็จะทั้งนุ่มทั้งเปื่อยดี

               หรือ เพื่อเพิ่มความนุ่ม หอม อร่อย เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว คอหมู หมูสามชั้นเนื้อ สามารถใช้สูตรการหมักดังนี้ (สำหรับปริมาณเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม) 
  • น้ำมันงา 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันสลัด 3 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่น 1 กรัม
  • งาขาว 1 กรัม
  • เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือนิดหน่อย
หมักทิ้งไว้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

เพิ่มเติมจาก Internet ที่มีผู้รวบรวมไว้

- หมักด้วยผงฟูที่ใช้ทำเค้ก จะได้หมูแบบหยุ่นๆ เหมือนราดหน้าหมู ลองไปอ่านกล่องผงฟูดูมันจะมีเบคกิ้งโซดาอยู่เป็นส่วนใหญ่ ใช้แทนกันคงได้ แต่คนที่กินด้วยนี่บอกว่าเวลาเอาไปย่างกับกะทะเป็นเสต็กแบบฝรั่ง มันไม่ค่อยเกรียมอย่างที่เค้าอยากกิน

- หมักด้วยน้ำมันพืช จะได้หมูแบบหมูปิ้งที่เค้าปิ้งขาย กินกับข้าวเหนียว แต่เหมือนกับว่าเค้าจะใส่แป้งมันลงไปด้วย ถ้าหาแป้งมันไม่ได้ ใช้แป้งข้าวโพดแทนได้ ถ้าเป็นหมูปิ้งที่ขาย เค้าจะหมักข้ามคืน แต่แบบนี้ต้องไม่กลัวอ้วน เพราะมันจะอ้วนได้ใจเลย

- หมักด้วยน้ำสับปะรด อันนี้คงได้หมูแบบเปื่อยๆ

- หมักด้วยไข่ขาว ถ้าที่บ้านใช้ไข่แดงทำขนมแล้วไข่ขาวเหลือนี่ น่าสนใจมาก คนที่เคยทำเค้าบอกว่าเค้าจะแล่หมูใส่ถุงซิปล็อคแล้วใส่ไข่ขาวลงไปคลุกๆให้เข้ากัน แล้วเอาเข้าตู้แข็งทั้งอย่างนั้น พอจะกินก็เอามาใช้ทีละถุง เค้าบอกว่านิ่มมากแต่ไม่ยุ่ย ถ้าจำไม่ผิดเค้าบอกว่าอัลบูมินในไข่ขาวมันจะไปทำปฏิกริยาอะไรซักอย่างกับไอ้ เจ้าที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อที่มันยึดเนื้อไว้ให้เนื้อเหนียวน่ะค่ะ (คลับคล้ายคลับคลานะคะ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน คนเขียนก็จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ) อันนี้ไม่เคยทำเหมือนกัน

- หมักด้วยหอมห้วใหญ่ อันนี้เคยเห็นในรายการทีวีของญี่ปุ่น เค้าจะสับหอมหัวใหญ่ให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปรวมกับเนื้อ ไม่รู้ว่าเค้าหมักนานแค่ไหนเหมือนกัน เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เค้าเอามาพิสูจน์ความนุ่มเทียบกับเนื้อที่ไม่ได้หมัก (สไตล์รายการญี่ปุ่นน่ะ ลองนึกภาพตาม) ในเนื้อมันจะนุ่มแบบชุ่มฉ่ำ

-ใช้ผงฟู แป้งข้าวโพด แล้วก็น้ำมัน ปนกันหมด หมักแค่ชั่วโมงเดียว เพราะไม่ค่อยคิดรายการอาหารข้ามวัน

อัน นี้เป็นส่วนเฉพาะที่ทำให้เนื้อมันนุ่ม ส่วนจะหมักด้วยซอส หรือเครื่องปรุงรสอะไรก็แล้วแต่ว่าจะเอาไปทำอาหารอะไร

การทอดเบคอนไม่ให้งอ

             เบคอนที่เรามักจะเห็นขายอยู่ตามซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆมีหลายยี่ห้อ ควรเลือกซื้อเฉพาะที่ยังใหม่สดโดยสังเกตุเนื้อจะมีสีชมพูอ่อนๆส่วนมันจะมีสีขาว เมื่อนำมาทอดแผ่นเบคอนมักจะบิดงอแลดูไม่สวยงามและทำให้การจัดอาหารในจานทำได้ไม่สวยนัก

Bacon

            วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีคือนำเบคอนมาจุ่มด้วยนมสดให้ทั่วทั้งแผ่นก่อนแล้วจึงนำลงทอดในกระทะที่ใช้ไฟปานกลาง ทอดจนเบคอนมีสีเหลืองและกรอบเบคอนก็จะยังไม่บิดงอ  

การทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน

     ปกติในการทอดอาหารมักจะอมน้ำมันทำให้เกิดการสิ้นเปลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทแป้งจะเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การทอดปาท่องโก๋ การทอดโดนัท เป็นต้น หากเราใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อยผสมลงในน้ำมันจะช่วยให้ไม่อมน้ำมัน ทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้นเพราะรับประทานแล้วไม่เลี่ยนและยังทำให้ร่างกายไม่ได้รับไขมันมากเกินไป



     ต่อไปนี้เป็นความเห็นและเทคนิคของบุคคลต่างๆ ที่รวบรวมมาจาก Internet ใครชอบแบบไหน ทดลองทำแล้ว ได้ผลเป็นประการใด ท่านสามารถมาร่วมแบ่งปันความรู้โดยแจ้งหรือให้ข้อคิดเห็นได้ในบล็อกนี้
  • ใช้น้ำมันปาล์มแล้วอาหารจะกรอบอร่อยจริง แต่ในน้ำมันปาล์ม มีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง จึงไม่ดีกับสุขภาพเท่าไหร่นัก ส่วนน้ำมันเมล็ดฝ้าย เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำกว่าน้ำมันปาล์ม และมีจุดเดือดสูง ทำให้เหมาะกับการทอดแบบ Deep Fried ทำให้อาหารกรอบนาน และที่สำคัญ น้ำมันเมล็ดฝ้ายมีคุณสมบัติคือ ช่วยให้อาหารทอดเก็บได้นาน ไม่เหม็นหืนง่าย สำหรับน้ำมันถั่วเหลือง ไม่เหมาะสำหรับทอด เพราะมีจุดเดือดไม่สูงมาก หากอยู่ในความร้อนนาน ๆ จะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

  •  ของทอดนำมันร้อนจริงๆถึงจะลงทอดได้ แต่ต้องไม่ปล่อยจนมีควัน ถ้ากลัวน้ำมันกระเด็นใส่เกลือลงไปนิดนึง ตักขึ้น ต้องมีตะแกรงรองรับน้ำมัน น้ำมันหยดออกหมดแล้วถึงจะจัดลงจานถ้ายังไม่แน่ใจให้ใช้กระดาษซับน้ำมันรองจานพัก แล้วค่อยจัดใส่จานเมื่อถึงเวลาเสิร์ฟ

  • หลังจากการทอดแล้ว มักจะมีการอบด้วยเตาอบ ที่อุณหภูมิต่ำ ที่ 60 -80 องศาc สัก 5-10นาที จะเป็นการไล่น้ำมันที่มีการตกค้างจากการอมน้ำมัน วิธีการนี้ ใช้ในการทำให้ทุเรียนทอด กล้วยทอด มันทอด และขนุนทอด คงสภาพความกอบได้ดีทีเดียว

  • ต้องทอดในอุณหภูมิที่เหมาะสม อะไรที่ทอดนานไฟอ่อนจะอมน้ำมัน ต้องตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทอดไฟแรง จะลดการอมน้ำมันไปได้มากครับ เมื่อเอาออกจากกระทะแล้วให้เอาวางลงบนกระดาษซับน้ำมันหาซื้อได้ตามห้างทั่ว ไปครับ ต้องทิ้งไว้อย่างน้อยสิบนาที จึงนำไปรัปประทานครับ จะให้ดีขึ้นอีกคือให้ทอดไฟปานกลางสักสามนาที เอาออกวางบนกระดาษทิ้งไว้ห้านาทีแล้วเอาลงไปทอดใหม่ให้ไฟแรงหนึ่งนาที แล้วเอาออกวางบนกระดาษทิ้งไว้สิบนาที จึงค่อยเอาไปรับประทาน

  • ขอตอบเรื่องปลาทอดก่อนเลย ปริมาณน้ำมันต้องเกือบๆท่วมตัวปลา ควรเลือกภาชนะทรงสูง เช่นหม้อ แ่ต่ต้องให้เหมาะสมกับตัวปลา เพื่อเป็นการประหยัดน้ำมัน พอน้ำมันร้อนจัด แต่ไม่ไหม้ สังเกตุได้จากการเคลื่อนที่ของน้ำมัน ใ่ส่ปลาลงไป สักหนึ่ง ถึงสองนาที ลดไฟลง ทอดไฟปากลางต่อไปจนเหลืองแล้วเร่งไฟแรงเพื่อไล่น้ำมันออกจากเนื้อปลา ทำทีล่ะด้านเหมือนกันจนเหลืองกรอบ พักปลาบนตะแกรงจนสะเด็ดน้ำมันจริงๆ เท่านี้ก็อร่อยแล้ว อีกอย่างถ้าปลาทาเกลือทอด จะดีกว่าไม่ติดหม้อหรือกระทะด้วย 

  • น้ำมันที่ทอดต้องเป็นน้ำมันปาล์ม คือน้ำมันปาล์มต้องร้อน ร้อนหรือไม่ก็ให้ลองใส่อะไรลงไป เช่น แป้งทอดเป็นต้น แต่วิธีทอดเมื่อใส่ลงกะทะแล้ว สำคัญสุดๆ ห้ามพลิกไปพลิกมาเป็นอันขาด จะอมน้ำมันก็ตอนนี้ ให้สุกเหลืองก่อนแล้วจึงพลิกกลับมาทอดอีกด้าน อันนี้ทอดแบบประหยัดน้ำมันนะ หากไม่กลัวเปลือง ก็ใส่น้ำมันให้เยอะชนิดที่ใส่อะไรลงไปจนมิดเลย แต่ห้ามพลิกเล่นนะ และอย่านำน้ำมันมาทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งเพราะจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง

  • การทอดที่ไม่ให้อมน้ำมันมีวิธีการทำคล้่ายๆกันเพียงแต่เทคนิกการทำอาหารบางชนิดอาจแตกต่างกันไปอย่างเช่นการทอดปลาควรเท่น้ำมันให้ท่วมตัวปลาโดยต้องรอ ให้ร้อนจึงใส่ปลาลงไปพอกับการทอดหมูพอเหลืองค่อยพลิกอีกด้่านส่วนปอเปี๊ยะ ส่วนประกอบทุกอย่างเมื่อล้างหรือเอามาปรุงไส้ต้องให้ความชื้นแห้งพอสมควร ค่อยห่อแป้งแล้วลงทอดโดยใช้ไฟร้อนพอสมควรที่สำคัญแป้งต้องไม่เปียกจนเกินไป

  • ถ้าจะทอด ผัก หรือ กล้วยทอด ให้ใส่น้ำมันพืช ลงในแป้ง 1 ช้อนโต๊ะ เพราะน้ำมันพืชในแป้งที่ชุปทอด จะไล่น้ำมันที่อยู่ภายนอกไม่ให้เข้ามาฝังตัว และกรอบด้วย

  • ทอดด้วยไฟแรงปานกลาง แล้วน้ำมันต้องร้อนจัดก่อนนำของลงทอด จะทำให้ไม่อมน้ำมัน ถ้าทอดหมูหรือไก่ ควรคลุกแป้งกรอบเล็กน้อยโดยโรยแป้งแล้วคลุกแบบแห้งๆ จะทำให้อาหารเหลืองกรอบนานด้วยค่ะ ถ้าทอดปลาให้ทำให้ปลาหมาดๆแล้วโรยเกลือที่ตัวปลาเล็กน้อยให้ทั่วทำให้ไม่ ติดกระทะด้วย
     ใครชอบแบบไหน ทดลองทำแล้ว ได้ผลเป็นประการใด ท่านสามารถมาร่วมแบ่งปันความรู้โดยแจ้งหรือให้ข้อคิดเห็นได้ในบล็อกนี้

    เก็บใบแมงลัก ใบโหระพา ไว้ใช้ได้หลายๆวัน

                       ใบผักอย่างใบแมงลักหรือใบโหระพา เป็นผักที่ช้ำและเน่าเสียได้ง่าย ถ้าบังเอิญคุณซื้อมามากจนเกินไปแล้วอยากจะเก็บไว้ให้ใช้ได้หลาย ๆ วัน ให้เด็ดใบออกจากก้าน ผึ่งไว้พอแห้ง (ไม่ต้องล้างน้ำ แต่ก็อย่าเผลอผึ่งไว้ซะจนแห้งกรอบ) นำใบที่เด็ดแล้วใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น ให้มีลมอยู่ในถุงบ้าง จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา ก็จะเก็บไว้ใช้ได้หลายวัน

                      โหระพา เป็นผักที่ใช้บริโภคเป็นผักสดหรือใช้ประกอบอาหารอื่นๆ ก็ได้ ทำให้อาหารมีรสชาติและกลิ่นหอมน่ารับประทานยิ่งขึ้น ใช้ใบปรุงอาหารเป็นผักชูรสได้หลายชนิด เช่น แกงเผ็ด แกงเลียง ผัด ทอด รับประทานสด เป็นเครื่องแนมอาหารคาวหรืออาหารว่างได้เป็นอย่างดี
    นอกจากจะใช้เป็นอาหารแล้วยังมีคุณค่าทางยาช่วยขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เมล็ดเมื่อแช่น้ำจะพองตัวใช้รับประทานแก้บิด ช่วยหล่อลื่นลำไส้


                       แมงลัก เป็นผักสวนครัว ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่รู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสด ๆ คู่กับขนมจีนน้ำยา เป็นต้น ประโยชน์ของ ใบแมงลัก คือ ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือ โรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย
                      ส่วนเม็ดแมงลักก็มีสรรพคุณ คือ มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย
     

    10 เครื่องเทศแห้งยอดนิยมในเมืองไทย

             จุดเด่นของอาหารไทยประการหนึ่งก็คือ มีการใช้เครื่องเทศอยู่หลายชนิด ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาดของอาหารแล้ว บางชนิดยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย    ต่อไปนี้คือเครื่องเทศที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารไทย ซึ่งได้รวบรวมมาจากเว็บไซต์ ToptenThailand.com

    (กรุณาเลื่อน Scroll Bar เพื่ออ่าน)


    ข้อมูลจาก : www.toptenthailand.com

    การคั่วพริกไม่ให้มีกลิ่นฉุน

         หลายๆคนอาจเคยคั่วพริกแห้งไว้กินเองที่บ้าน เพราะว่าสะอาด สด ใหม่ กว่า การนำพริกแห้งมาใช้ทำให้เราได้อาหารที่มีรสและกลิ่นที่ชวนรับประทานมากขึ้น แต่การคั่วพริกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครัวที่มีการระบายอากาศไม่ดีพอกลิ่นฉุนที่ออกมาจากกการคั่วทำให้มีอาการแสบตาและมีกลิ่นฉุนที่รุนแรงพอสมควร วันนี้มีเคล็ดลับในการคั่วพริกไม่ให้มีกลิ่นฉุนมาฝาก  


         วิธีลดกลิ่นฉุนดังกล่าว ทำได้โดยการใส่เกลือป่นลงไปในกระทะเล็กน้อย  เท่านี้กลิ่นฉุนก็จะบรรเทาไปมาก

         หรืออีกวิีธีหนึ่ง เพียงแค่ทาน้ำมันพืชลงในกระทะที่จะคั่วให้ทั่ว จากนั้นนำพริกไปคั่วไฟอ่อนๆ  เพียงเท่านี้ ก็จะได้พริกแห้งคั่วที่น่ากิน แถมไม่ส่งกลิ่นรบกวนทั้งตัวเองและผู้อื่นด้วย

    การเผามะเขือให้อร่อย

    ภาพจาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sweetheart-bakery&month=05-2008&date=23&group=1&gblog=12

        มะเขือยาวเวลาจะเอาไปทำอาหารบางประเภท ต้องเอาไปเผาก่อน แต่ถ้าเผาไม่เป็นก็จะได้ มะเขือเผาเนื้อแข็ง ทานไม่อร่อย ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเรากลัวมะเขือจะไหม้ เลยใช้ไฟอ่อน กลับกลายเป็นว่าต้องใช้าเวลาเผานาน เนื้อมะเขือที่ปอกแล้วเลยมีสีน้ำตาล แข็ง ไม่น่าทาน วิธีเผามะเขือยาวที่ถูกต้องให้ใช้ไฟแรงค่ะ กลับไปมาจนสุกทั่ว จากนั้นเอาไปจุ่มน้ำเย็นสักครู่หนึ่ง เมื่อลอกเปลือกออก เนื้อมะเขือข้างในจะยังนุ่มและมีสีเขียวสวย น่าทาน

    การต้มผัก

    การต้มผักใบ

          ให้ตัดผักออกเป็นก้านๆล้างให้สะอาด นำหม้อขึ้นตั้งไฟใช้ไฟแรงใส่น้ำน้อย ใส่น้ำมัน 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา เวลาต้มให้ใส่ก้านลงก่อนแล้วจึงค่อยๆใสลงไปทั้งต้น เมื่อผักสุกให้นำขึ้นและจุ่มน้ำเย็นทันที ผักจะเขียวเท่าๆกันทั้งต้น

    การต้มผักประเภทหัว

         ควรต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงใส่ผักที่ล้างสะอาดแล้วลงไปประมาณ 20 นาที เมื่อนำขึ้นก็ให้แช่ในน้ำเย็นทันทีจะทำให้ปอกเปลือกง่าย ควรต้มทั้งเปลือกเพื่อไม่ให้สูญเสียความหวานของผัก



    ภาพจาก : http://www.bloggang.com/data/tanja-nl/picture/1245850715.jpg

         ในการต้มผัก หากเหยาะน้ำมันพืชเล็กน้อยจะทำให้ผักมีผิวมันน่ากินยิ่งขึ้น ส่วนผักสีขาว เช่นกะหล่ำปลี และหัวไชเท้า ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย

         อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักบางชนิด ได้แก่ บล็อคโคลี่ กะหล่ำดอก และกะหล่ำปมนั้น จะทำลายสารที่เป็นคุณกับการต่อต้านโรคมะเร็งลงไปมากถึง 75% โดยในผักประเภทนี้จะมีสารสำคัญชนิดหนึ่งคือ สารกลูโคซิโนเลต ซึ่งมีศักยภาพในการต้านมะเร็งที่สำคัญ โดยจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ การต้มผักนานๆจะทำให้สารตัวนี้หายไป      
           สำหรับวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผักยังคงคุณค่า นอกจากการกินสดๆแล้วนั้น ก็คือการนึ่ง โดยไม่ควรนึ่งนานเกิน 20 นาที ก็จะช่วยรักษาคุณค่าของผักในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80%

    วิธีต้มน้ำซุป

       การทำแกงจืดเพื่อให้รสดี และเพิ่มคุณค่าของอาหารมากขึ้น จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ จะต้องทำจากน้ำซุป ( น้ำ ต้มกระดูก ) ซึ่งทำจากกระดูกสดของเป็ด ไก่ หมู วัว และปลา ต้มกับเกลือและผักต่างๆ เช่น หัวผักกาด ต้นขึ้นฉ่าย ต้น หอม ผักชี หอมฝรั่ง กระหล่ำปลี หรือเศษผักที่เหลือจากประกอบอาหาร 

    หลักของการต้มซุป
    1. ใช้หม้อใบใหญ่และมีฝาปิด ควรใช้หม้อที่มีหูจับได้สะดวกต่อการยกขึ้นอุ่นบนเตา
    2. เครื่องประกอบที่จะต้มน้ำซุปนี้ต้องให้สด กระดูกสับชิ้นใหญ่ประมาณ 4 นิ้ว เนื้อหั่นชิ้นเล็กๆ ตัดส่วนมันออกให้หมด ผักหัว ปอกเปลือกแล้วหั่น ส่วนผักชนิดอื่นตัดเป็นท่อน ๆ
    3. แช่ในน้ำประมาณ 2 ชม. เพื่อให้น้ำหวานในกระดูกออก ใช้ไฟกลาง จนกว่าจะเดือด ใช้ทัพพี ช้อนฟองทิ้งเคี่ยวไฟ อ่อนๆต่อไป เมื่อน้ำซุปจวนจะได้ที่แล้ว ใส่ผัก และเคี่ยวต่อไป
    4. กรองน้ำซุปด้วนตะแกรง และใช้ผ้าขาวบางวางใต้ตะแกรงอีกชั้นหนึ่ง ส่วนไขมันที่ลอยหน้ายังไม่ต้องช้อนทิ้งจนกว่า จะใช้ เพราะไขมันนี้จะช่วยไม่ให้อากาศเข้าไปในน้ำซุป ซึ่งจะทำให้เสียง่าย น้ำซุปที่ดีต้องใส ควรทำล่วงหน้าก่อนที่จะ ใช้หนึ่งวัน ไม่ควรเก็บไว้นานวัน เฉพาะอย่างยิ่งในที่ๆมีอากาศร้อน

    การต้มน้ำซุปมีหลายวิธี ด้วยกัน

    1. กระดูกเนื้อวัว สับแล้ว และเศษเนื้อตัดมันออกให้หมด หั่นเนื้อเล็ก ๆ 1/2กิโลกรัม น้ำ 8-10 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา แช่ ไว้ประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้น้ำหวานในกระดูกออก แล้วตั้งบนไฟกลางอ่อนๆ พอเดือด ช้อนฟองทิ้ง ปิดฝาหม้อเคี่ยว ต่อไปจนกว่าน้ำงวดลงครึ่งหนึ่ง ใส่ผักที่ต้องการแล้วเคี่ยวต่อไป จนเหลือน้ำซุปตามต้องการ น้ำซุปชนิดนี้จะออกเป็นสี น้ำตาล ( ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง )
    2. กระดูกไก่ - เป็ด - หมู สับแล้ว พร้อมทั้งเศษเนื้อของไก่ - เป็ด รวมกัน 1/2กิโลกรัม น้ำ 6-8 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา แช่ ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ตั้งไฟกลางอ่อนๆ พอเดือดช้อนฟองทิ้ง พอน้ำลดลงครึ่งหนึ่งใส่ผักต่างๆ และเพิ่มหอมใหญ่ พริก ไทยด้วย น้ำซุปชนิดนี้จะออกเป็นสีขาว ( ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง )
    3. กระดูกปลาเนื้อขาว1/2กิโลกรัม ล้างด้วยน้ำเกลือ ต้มน้ำ 5 ถ้วย ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ให้เดือด ใส่กระดูกปลาลงต้ม 20 นาที ช้อนฟองทิ้ง ใส่หอมใหญ่ ต้นขึ้นฉ่าย ต้มต่อไปอีก 10 นาที ใช้ได้ ซุปปลานี้ต้มแล้วต้องใช้ทันที
    4. ผักหลายๆชนิดเช่น หัวผักกาดขาว-เหลือง ต้นหอม ผักชี ขึ้นฉ่าย กระหล่ำปลี ฯลฯ รวมกัน 2 กิโลกรัม ล้าง ปอก หั่น ตามลักษณะของผัก ผักชีใช้ทั้งต้น ไม่ต้องตัดรากออก กระเทียม สับ 1 ช้อนชา เจียวในน้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ พอหอมใส่ผัก ทุกอย่างลงผัด ตักใส่หม้อ ใส่เกลือ 1 ช้อนชา ใส่น้ำ 6-8 ถ้วย พริกไทย 8-10 เม็ด เคี่ยวไฟกลางอ่อนๆ ปิดฝาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

    ข้อแนะนำ
    การต้มน้ำซุป จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่เกลือพร้อมทั้งน้ำและกระดูก โดยวิธีนี้จะทำให้น้ำซุปใส เวลาต้มไม่ต้องคน ถ้าคน บ่อยแล้วจะทำให้น้ำซุปขุ่น

    วิธีแก้น้ำซุปขุ่นให้ใส
    ล้างเปลือกไข่ให้สะอาดพร้อมทั้งไข่ขาวดิบ 1 ฟอง ผสมให้เข้ากัน ยกหม้อน้ำซุปลงจากเตา ใส่เปลือกไข่และไข่ขาว คนให้ กระจาย ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดสักครู่ ฟองจะขึ้น จึงช้อนฟองทิ้ง น้ำซุปจะใส 

    ข้อมูลจาก : Horapa.com

    วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    วิธีทำมะระไม่ให้ขม

          ในการทำมะระไม่ให้ขมคงทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายๆ คือ

     
              - ถ้าเป็นอาหารประเภทต้ม ตุ๋น ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารให้หั่นมะระควักไส้ออกให้เรียบร้อยก่อน นำไปต้มกับน้ำ ซึ่งใส่เกลือลงไปประมาณ 2 ช้อนชา เมื่อต้มจนเดือดได้สักครู่นำน้ำทิ้ง ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถทำตามขั้นตอนข้างบนได้อีก จากนั้นนำมะระลงแช่ในน้ำเย็นและใส่ไส้แล้วจึงนำไปต้มจริงอีกครั้ง



              - ถ้าเป็นมะระผัดไข่ให้ซอยมะระเป็นชิ้นบาง ๆ สำหรับผัดก่อน แล้วนำไปคลุกกับเกลือขยำ ๆ แล้วทิ้งไว้สักครู่นึง แล้วล้างน้ำออกนำไปผัด


              - สำหรับมะระที่ใช้เป้นผักแกล้มขนมจีนนั้น ให้หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ สำหรับทาน แล้วนำไปแช่ในน้ำเกลือสักพัก ค่อยยกออกล้างน้ำอีกทีนึง เป็นใช้ได้



    ข้อมูลจาก Eazydo.com

    การต้มข้าวโพด

                   สำหรับคุณๆ ที่ชอบกินข้าวโพดยิ่งได้เห็นฝักสดๆ เมล็ดเต่งตึง อดจะซื้อหามาปรุงแต่ง โดยเฉพาะกับเมนูอาหารหวาน อย่างเช่นตะโก้ ข้าวโพดอบเนย หรือคลุกน้ำตาลทราย แล้วโรยด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดขาว แต่กับเมนูที่มองเหมือนง่าย ๆ อย่างข้าวโพดต้ม ซึ่งคุณแม่บ้านบ่นแล้วบ่นอีก ว่าทำอย่างไรเมล็ดก็ไม่เต่งตึง หอมหวาน น่ากินดังหวัง
     
                   เรามีเคล็ดลับ : สูตรการต้มข้าวโพดให้ทั้งหวาน ทั้งหอม แถมเมล็ดยังเต่งตึงมาฝากค่ะ เพียงคุณใส่ข้าวโพดลงในภาชนะ รินน้ำสะอาด แล้ว เติมนมสด กะให้ท่วมฝักข้าวโพด ต้มต่อกระทั่งเดือดและสุก ตักขึ้นพักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ

     
                   เพียงเท่านี้ ข้าวโพดก็จะออกมาหน้าตาน่ากิน แถมหวาน มัน อร่อยแบบถึงรสถึงชาด


    ประโยชน์ของข้าวโพด

                   นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าว โพด หวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด
                   เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสีย คุณค่าทางอาหารลงไป สู้ กินดิบๆไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้แม้ว่าจะเสียวิตามิน ซีไป

                    เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาทีพบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

                    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆอย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้ว

                   
    คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่ เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก

    พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนักแต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าว โพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่าง อื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

    ข้าวกล้องหุงอย่างไรให้นุ่ม

                     ข้าวกล้องเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เนื่องจากเป็นข้าวที่ผ่านการกระเทาะเปลือกออกเพียงครั้งเดียว ทำให้จมูกข้าวและรำข้าวซึ่งเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยวิตามินยังติดอยู่ ข้าวกล้องนั้นจะมีสีน้ำตาลส่วนความเข้มอ่อนนั้นจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ข้าว พื้นที่ ที่ใช้ในการปลูก และกระบวนการผลิต  สาเหตุที่ข้าวกล้องยังได้รับความนิยมไม่มาก เท่าที่ควรนั้นเนื่องมาจาก เวลาที่ข้าวกล้องสุกแล้วจะมีความแข็งมากกว่าข้าวขาว

                 
                     เพื่อให้ข้าวกล้องมีความนิ่ม มากขึ้นจะต้องตวงข้าวกล้องใส่หม้อ แช่น้ำไว้ประมาณ 30 นาที และอัตราส่วนในการหุงนั้นต้องใช้ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน แช่น้ำทิ้งไว้อีกประมาณ 30 นาที จึงจะนำไปหุงได้ หรืออาจใช้วิธีใส่ข้าวขาวขัดผสมลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 4 ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้ข้าวกล้องนุ่มน่ากินมากขึ้น

    นึ่งข้าวมันให้สวย



                   
                ข้าวมันสามารถทำได้ทั้งการหุงและการนึ่ง หากใช้วิธีการนึ่งต้องคนให้กระทิผสมกับข้าวเพื่อไม่ให้กระทิลอยหน้าและไม่แตกมันและคนอีกครั้งเมื่อข้าวใกล้จะสุก ข้าวมันที่ได้จะเป็นเม็ดเงาดูน่ารับประทาน

    นึ่งข้าวเหนียวให้สวย


                 
                ข้าวเหนียวอาหารหลักของชาวอีสานและอาหารโปรดของหลายๆคน รับประทานกับส้มตำ ไก่ย่าง อร่อยอย่าบอกใครเชียว ในการนึ่งข้าวเหนียวให้สวยคือเมื่อนึ่งเสร็จแล้วจะเป็นเงาดูสวยน่ารับประทานมีวิธีง่ายๆโดยการนำข้าวเหนียวไปแช่น้ำแกว่งด้วยสารส้มประมาณ 5 นาที ซาวน้ำออก 2-3 ครั้ง จากนั้นแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนจึงนำไปนึ่งในน้ำเดีอด ไฟแรงจนสุก ข้าวเหนียวที่ได้ก็จะเงาดูสวยน่ารับประทาน

    เทคนิคในการทำอาหารไทยให้อร่อย

         น้ำพริกกะปิ เป็นอาหารโปรดของคนไทยสมัยก่อน จะขาดในสำรับไม่ได้ เวลาตำ ก็ดูว่าน้ำพริกนั้นจิ้มกับอะไร ถ้าจิ้มกับผักต้ม กะปิจะต้องเหลวหน่อย มีรสเค็ม เปรี้ยว หวาน ให้มากหน่อย แต่ถ้าไปจิ้มกับผักดอง ก็ต้องลดเปรี้ยวลง ถ้าไปจิ้มกับผักดิบ หรือผักชุปแป้งทอด เช่น มะเขือยาว หรือชะอมชุบไข่ หรือคลุกข้าว น้ำพริกก็จะต้องข้นหน่อย มีรส เปรี้ยว เค็ม หวาน สมดุลกลมกล่อมเท่า ๆ กัน ถ้ากลัวคนกินจะเหม็นกะปิ เพราะกะปิไม่ดีพอ หรืออะไรก็แล้วแต่ ชาววังท่านแนะว่า ก็ควรบีบมะนาวใส่ลงไปในกะปิก่อน และถ้ากลัวจะต้องใช้กะปิเยอะ ๆ ก็ควรใส่กุ้งแห้งลงไปโขลกด้วยนี่เป็นวิธีการของคนเก่าคนแก่ทั้งนั้น

         การผัด  จะต้องเข้าใจว่า จะผัดอะไรต้องใชไฟแรง ๆ เตรียมเครื่องปรุงไว้ให้พร้อม พวกส่วนผสมของน้ำ ๆ เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว น้ำมันหอย น้ำมันงา เหล้า อะไรพวกนี้ก็เตรียมไว้ใกล้มือ ไม่ใช่ผัดไปใส่ไปทีละอย่าง พอดีผักจะเหนียวและสีไม่สวย คนจีนนิยมลวกผักเสียก่อนหน่อยหนึ่ง แล้วค่อยผัดนัยว่าทำให้ผักสีสวย ไม่ต้องผัดนาน และผักก็กรอบอร่อยดีด้วย



         เวลาผัดน้ำพริกแกงต้องผัดกับกะทิที่เคี่ยวจนแตกมัน ผัดนานสัก 5 นาที จนกลิ่นหอม จึงค่อย ๆ เติมน้ำกะทิลงไปอีกได้ทีละน้อย ต้องผัดให้หอมกลิ่นส่วนผสมและเครื่องเทศฟุ้งไปทั้งบ้านถึงจะเรียกได้ว่าแกงเป็น เมื่อผัดจนหอมและมีสีสันสวย จึงค่อยใส่เนื้อสัตว์ลงไปเคล้ากับน้ำพริกให้น้ำพริกเข้าเนื้อจึงตักใส่หม้อ ใส่ใบมะกรูดฉีก น้ำปลา น้ำตาล หรือส้มมะขามเปียก ตามสูตรของแกงนั้น ๆ อย่างแกงคั่วส้มหมูเทโพหรือแกงชัดส้มปลาช่อน เราจะต้องปรุงน้ำแกงให้เปรี้ยวเสียก่อน จึงค่อยใส่ผักบุ้งเพื่อผักบุ้งจะได้สีเขียวสด ไม่ดำคล้ำ เสียความน่ากิน

         การทอด จะทอดอะไรก็แล้วแต่ ต้องดูเป็นว่าน้ำมันในกระทะนั้นร้อนพอหรือยังหรือว่าต้องรู้จักทดสอบเป็น เช่น หยดแป้งหรือไข่ลงไปเล็กน้อย เพื่อดูปฏิกิริยาว่ามันดิ้นพราด ๆ แค่ไหน คนทำครัวเก่ง ๆ จะดูน้ำมันเกิดพรายหรือเป็นควันแค่ไหนจึงจะพอ



         การทอดปลาสด ก็ต้องรู้ว่าทอดยังไงปลาที่ทอดจึงจะนอนท่าสวยงาม ไม่คด ๆ งอ ๆ ทำให้ไม่น่ากิน การทอดปลาสดที่แกะกระดูกออกแล้วเวลาหย่อนลงทอดต้องรอให้น้ำมันร้อนจัดแล้วเอาทางด้านหนังปลาลงทอดฉ่าก่อนแล้วพยายามใช้ตะหลิวกดชิ้นปลาไว้จนหนังปลาจะหยุดหดตัว ชิ้นปลาจะได้ไม่หงิก ๆ งอ ๆ แล้วจึงค่อยกลับเอาทางด้านเนื้อลงทอดต่อไป แต่ถ้าจะทอดปลาดุกอุย หรือปลาเนื้อขาวอย่างที่ตะกุยเนื้อจนเป็นปุยเพื่อทอดให้เป็นปลาฟู จะเอาไปยำหรือเอาไปใส่น้ำพริกลงเรือก็แล้วแต่ ต้องเอาทางด้านเนื้อลงก่อน เพราะถ้าทางด้านหนังลง มันจะกระเด็นมาก เวลาทอดต้องหมั่นเอาไม้ปลายแหลมเขี่ย ๆ เนื้อปลาดุกให้มารวม ๆ กัน มันจะรวมกันเป็นอันดี เราก็คอยตะล่อมให้มันมารวมที่ตัวปลา ทอดจนเหลืองกรอบทั่วกันจึงตักขึ้นมาวางบนกระดาษซับน้ำมัน
         แต่ทอดปลาทูนึ่ง ต้องระวังไปอีกแบบหนึ่ง ต้องผึ่งให้น้ำปลาทูนึ่งแห้งเสียก่อนเวลาทอดต้องใช้ไฟแรงเพื่อให้หนังปลาแห้งและเหลืองเร็ว ปลานึ่งสุกแล้วไม่ต้องทอดนานก็ได้ทอดเสร็จแล้วจึงแกะเอาเนื้ออย่าไปแกะเนื้อก่อนแล้วเอาไปทอดจะทำให้เหม็นคาวไม่อร่อยเลย

    วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ลักษณะอาหารไทยประจำภาคต่างๆ

         อาหารไทยเป็นอาหารประจำชาติไทย ที่มีการสั่งสมถ่ายทอดกันอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ มีการปรุงอย่างประณีต บรรจง นอกจากจะเป็นอาหารเพื่อกินให้อิ่มแล้ว ยังเป็นอาหารตา เพราะมีความสวยงามทั้งรูปลักษณะ และสีสันที่วิจิตรบรรจงหาชาติใดเสมอเหมือ มีความเฉพาะตัว และโดยที่ประเทศไทยมีพื้นที่กว้างขวง ตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศที่เหมาะสมและพื่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีพืชพรรณที่มีความแตกต่างและเหมือนกันบ้างบางส่วน ทำให้เกิดความหลากหลายในวัฒนธรรมด้านอาหารการกิน โดยมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละภาค ดังนี้
    • อาหารไทยภาคกลาง
         ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีภูเขาบ้าง ส่วนมากเป็นภูเขาเตี้ยๆ มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง ทำให้เกิดที่ราบลุ่มริมแม่น้ำเหมาะสำหรับเพราะปลูกและเลี้ยงสัตว์ จึงเป็นภาคที่อุมสมบูรณ์มากที่สุด เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงนับหลายร้อยปี ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จึงทำให้เป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมมีการติดต่อกับต่างประเทศ ทำให้เกิดการรับอิทธิพลทางด้านอาหาร เช่น การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันจากชาวจีน ขนมทองหยิบ ฝอยทอง มาจากชาวโปรตุเกส เครื่องแกงที่ใส่ผลกะหรี่มาจากชาวฮินดู เป็นต้น อาหารภาคกลางมักจะมีเครื่องเคียงของแนม เช่น น้ำปลาหวานคู่กับกุ้งเผา ปลาดุกย่าง แกงเผ็ดคู่กับของเค็ม น้ำพริกลงเรือคู่หมูหวาน เป็นต้น มีขนมหวานและอาหารว่างมากกกว่าภาคอื่นๆ เช่น ขนมจีบไทย ข้าวเกรียบปากหม้อ ข้างตังหน้าตั้ง กระทงทอง ขนมชั้น ขนมสอดไส้ เป็นต้น ที่สำคัญเป็นที่ของพระราชวังของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่างๆ มีการสร้างสรรค์อาหารชาววังที่เลื่องชื่อ
         
        
         สรุปได้ว่า ภาคกลางเป็นที่มีความหลากหลาย รสชาติของอาหาร ภาคนี้ไม่เน้นอาหารไปทางรสหนึ่งรสใด คือต้องมีความกลมกล่อม มีรสเปรี้ยว รสเค็ม รสหวาน รสเผ็ด ไปตามชนิดของอาหารนั้นๆ และมักจะประกอบด้วยเครื่องปรุงแต่งกลิ่น รส เครื่องเทศ สมุนไพร


    • อาหารไทยภาคเหนือ
          ภาคเหนือ ภูมิประเทศเป็นภูเชาสลับกับทิวเขาทอดเป็นแนวยาวจากเหนือลงไปใต้ มีที่ราบระหว่างภูเขา อากาศหนาวเย็น ทำให้มีพืชพรรณที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆ เช่น มะเขือส้ม ดอกงิ้ว พริกหนุ่ม มะแขว่น แหลบ มีเขตแดนบางส่วนติดกับประเทศพม่า ทำให้เกิดการถ่นทอดวัฒนธรรม เช่น แกงฮังเล ขนมจีนน้ำเงี้ยว หรือขนมจีนน้ำมะเขือส้ม (ชาวไทยใหญ่ ชาวเงี้ยว) ข้าวซอย (ชาวจีนฮ่อ) มีการถนอมอาหารหลายชนิดที่ปัจจุบันเป็นที่แพร่หลาย เช่น แคบหมู หนังฟอง จิ้นส้มหรือแหนม ถั่วเน่า น้ำปู้ (น้ำปู) เป็นต้น


          อาหารภาคเหนือไม่นิยมใส่น้ำตาล ความหวานจะได้จากส่วนผสมที่นำมาทำอาหาร เช่น ความหวานจากผัก จากปลา ไขมันจะได้จากน้ำมันของสัตว์ สัตว์ที่นิมนำมาประกอบอาหารจะเป็น หมู ไก่ เนื้อ และปลาน้ำจืด การรับประทานอาหารของคนภาคเหนือ จะใช้โต๊ะข้าวที่เรียกว่าขันโตก แทนโต๊ะอาหาร จะทำด้วยไม้รูปทรงกลมมีขาสูงพอที่จะนั่งร่วมวง และหยิบอาหารได้สะดวก ในปัจจุบันกลายเป็นการจัดเลี้ยงที่นิยมเรียกว่า งานเลี้ยงขันโตกดินเนอร์ ซึ่งจะมีรายการอาหารที่จัดดังนี้ ข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก แกงฮังเล ลาบคั่ว (ไม่นิยมรสเปรี้ยว ปรุงรสเค็มนำ นำไปผัดกับน้ำมันให้สุก) ไส้อั่ว แคบหมู จิ้นทอด (หมูทอด) น้ำพริกหนุ่มหรือน้ำพริกอ่อง ผักสด ผักต้ม


    • อาหารไทยภาคใต้
         ภาคใต้จะเริ่มตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงประเทศมาเลเซีย มีลักษณะเป็นแผ่นดินที่ยื่นลงไปในทะเล โดยมีทะเลขนาบทั้ 2 ด้าน มีทิวเขาตะนาวศรีอยู่ทางทิศตะวันตกกั้นแนวพรมแดนไทยกับพม่า มีฝนตกชุกและมีช่วงฤดูฝนนานกว่าภาคอื่นๆ ของประเทศ จึงมีผักที่ใช้เป็นอาหารแตกต่างไปจากภาคอื่นๆ หลายชนิด เช่น สะตอ ลูกเนียง มะม่วงหิมพานต์ หน่อเหวียง ใบพาโหม อ้อดิบ


         อาหารภาคใต้โดยทั่วไปมักมีรสจัด คือ เผ็ด เค็ม รสหวานได้จากกะทิ เครื่องปรุงรสเค็มได้จากกะปิ น้ำปลา น้ำบูดู รสเปรี้ยวได้จากมะนาว มะกรูด มะม่วงเบา ส้มแขก สีอาหารจะออกสีเหลืองจากขมิ้น ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่นอกจากให้สีแล้ว ยังให้กลิ่นด้วย และดับกลิ่นคาวของอาหารทะเลนี้เป็นอาหารหลัก การที่อาหารภาคใต้มีรสจัด จึงต้องมีผักรับประทานคู่ไปด้วย เพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนลง เรียกว่า "ผักเหนาะ" เช่น มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว สะตอ ลูกเนียง ยอดมะกอก  นอกจากนี้ ยังมีการถนอมอาหารที่ขึ้นชื่อ เช่น กุ้งเสียบ น้ำบูดู ไตปลา เป็นต้น


    • อาหารไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
         อาหารไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ภาคอีสาน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง ประกอบด้วย ทิวเขา มีผ่าไม้น้อย เป็นทุ่งกว้าง เหมาะสำหรับเลี้ยงสัตว์ รับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก รสอาหารเค็ม เผ็ด และเปรี้ยว ทำให้เกิดอาหารที่ขึ้นชื่อ คือ ส้มตำ ลาบ ซุปหน่อไม้ ไส้กรอก หม่ำ (น้ำตับ) การจัดเตรียมอาหารไม่เน้นสีสันของอาหารหรือรูปแบบมากนัก กลิ่นของอาหารได้จากเครื่องเทศเหมือนภาคอื่นๆ แต่จะนิยมใช้ใบแมงลัก ผักชีลาว ผักชีฝรั่ง ผักแพว จะใส่ในอาหารเกือบทุกชนิด อาหารประเภทแกงไม่นิยมใส่กะทิ

         อาหารพื้นเมืองจะมีอาหารพวกแมลง เช่น มดแดง จิ้งหรีด ตั๊กแตน ดักแด้ แมงกุดจี่  สัตว์อื่นๆ ตามธรรมชาติ เช่น ปูนา กบ เขียด อึ่ง แย้ งู หนูนา เป็นต้น


    ข้อมูลจาก คู่มือหลักสูตร ช่างฝีมืออาหารไทย
    โรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต